วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Travel Bangkok 360 องศา : เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 2

----------------------------------------------------
Travel Bangkok 360 degree : the route back in time Traditional community (Thonburi) : Chapter 2
----------------------------------------------------


          เรามาติดตามเรื่องราวการเดินเที่ยวย้อนอดีตกรุงเทพฯ ตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งธนบุรีในตอนที่ 2 กันดีกว่า ตอนนี้คนเล่าเรื่องพร้อมแล้ว ขอนำทุกท่านไปติดตามอ่านกันต่อได้เลย...Let’s go

          เมื่อครั้งที่แล้ว เรามาถึงบริเวณใต้สะพานพระราม 8 เป้าหมายต่อไปก็คือ สถานที่ตั้งโรงสุราบางยี่ขันในอดีต จะอยู่ตรงไหน?เดี๋ยวไปดูกัน


-----------------------------------------------------

          เป้าหมายต่อไปก็คือ หาเส้นทางเดินลัดทะลุไปตามหาร่องร่อยหรือตำแหน่งที่ตั้งเดิมโรงสุราบางยี่ขัน และอาคารสองชั้นเก่าแก่รูปทรงเป็นสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียลของยุโรปแถวบางยี่ขันสร้าง เมื่อครั้งอดีต

          เดินฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระอุ ผ่านเข้าประตูสวนหลวงพระราม 8 นี่แค่ 10 โมงเช้ากว่าๆเอง แดดจัดมากเหลือเกิน เป็นสัญญาณบอกว่า ช่วงบ่ายๆนี้ฝนตกหนักแน่ๆ มาปลายฤดูฝนก็เป็นแบบนี้แหละ


          เดินไปตามถนน ผ่านสวนหย่อมในสวนหลวงพระราม 8 ผ่านด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 8  มาอาคารสำนักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (มูลนิธิชัยพัฒนา - สำนักงาน กปร.) และมาหยุดถ่ายภาพที่ อาคารสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของโรงสุราบางยี่ขันในอดีตนั่นเอง

          จากในภาพจะสามารถมองเห็นได้ทั้ง 2 ตึก สวยงามมาก เนื่องจากเป็นวันหยุด ประตูเหล็กด้านหน้าตึกถูกปิดล็อคเอาไว้ เลยไม่ได้เข้าไปด้านใน ตรงด้านหน้าอาคารจะประดิษฐานพระรูปหล่อ " สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ " ทรงประทับนั่งอยู่ด้านหน้าตัวอาคาร

          สอบถามผู้ดูแลจึงทราบว่า ที่ตั้งโรงงานสุราบางยี่ขัน นอกจากตึกสมเด็จพระพี่นางฯแล้ว ยังมีบริเวณตึกด้านซ้ายมือ ยาวไปจนติดกับคลองบางยี่ขันที่อยู่ติดริมรั้วกำแพงโน่นเลย


          ตรงมุมกำแพงของสวนหลวงพระราม 8 ที่มีคลองบางยี่ขันไหลอยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องผ่านประตูระบายและบำบัดน้ำเสีย ก่อนปล่อยลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ข้างๆจะมีประตูเหล็กเล็กๆ (ปกติจะปิดสนิทอยู่) เราสามารถเปิด เพื่อผ่านออกไปได้ ก็ใช้ประตูนี้เป็นทางออก เพื่อเดินลัดเลาะไปตามคลองบางยี่ขันนี่แหละ เพราะสามารถเดินลัดไปโผล่วัดพระยาศิริไอยสวรรค์ได้เลย (ไม่ต้องเดินย้อนกลับและอ้อมไปเดินตามถนนหลัก) ใช้เวลาไม่นานก็เดินทะลุถึงวัดพระยาศิริไอยสวรรค์ ซึ่งอยู่ด้านหลังโรงสุราบางยี่ขันเดิมนั่นเอง



          ในที่สุดก็เดินมาโผล่ตรงบริเวณท้ายวัดพระยาศิริไอยสวรรค์ เลี้ยวขวามือก็ถึงบริเวณศาลาวัดแล้ว ส่วนด้านซ้ายมือคนละฝั่งคลอง ก็จะเป็นวัดจุตรมิตรประดิษฐาราม(วัดสี่จีน) เราสามารถเดินทะลุสวนหลวงพระราม 8 มาออกประตูด้านข้างสู่ถนนเส้นหลัก แล้วเดินมาทางหน้าวัดเลยก็ได้ง่ายดีเช่นกัน


          วัดพระยาศิริไอยสวรรค์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ด้านหลังโรงสุราบางยี่ขัน(เดิม) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ. 2367 พระยาศิริไอยสวรรค์(ฟัก) " บิดาเจ้าคุณจอมมารดาเอม พระชายาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่จึงได้ชื่อว่า วัดพระยาศิริไอยสวรรค์ "  

          ภายในวัดพระยาศิริไอยสวรรค์ ที่สะดุดตาที่สุดก็คือ ซากหัวและเขาควายโค้งงอ 2 หัว ที่ติดอยู่ด้านข้างของอาคารศาลาวัด บริเวณหน้าวัดจะมีพระปรางค์ขนาดเล็กตั้งอยู่ อาณาเขตส่วนใหญ่ของวัด จะวางตัวทอดยาวขนานกันไปทางคลองบางยี่ขัน  โดยมีศาลาริมน้ำของวัดตั้งอยู่ติดริมคลอง และจะมีสะพานเล็กๆให้ข้ามคลองไปยังวัดจตุรมิตรประดิษฐาราม 

ข้อมูลน่ารู้ :

          มีเรื่องที่เล่ากันว่า  เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงดำรงพระยศ " เจ้าฟ้าจุฑามณี " หรือที่คนทั่วไปเรียกพระองค์ท่านว่า " เจ้าฟ้าน้อย " เสด็จทรงผนวชและจำพรรษาตามพระราชประเพณีที่วัดระฆังโฆสิตารามฯ ทรงโปรดที่จะพายเรือออกบิณฑบาตโดยเรือพระทีนั่งลำเล็กเข้าคลองบางกอกน้อย ซึ่งมีบ้านขุนนางคหบดีท่านหนึ่ง ตั้งโต๊ะใส่บาตรพระอยู่หน้าท่าน้ำเป็นประจำทุกๆวัน และบุตรีของท่านเจ้าของบ้านเป็นผู้ลงมาตักบาตรเองเสมอๆ

          วันหนึ่งขณะที่นางกำลังตักข้าวใส่บาตรพระภิกษุหนุ่มรูปงาม(ท่าทางมิใช่สามัญชนทั่วไป) พระภิกษุองค์นั้นก็ปิดฝาบาตรงับมือนางโดยเจตนา จนนางตกใจปล่อยมือจับทัพพีจนตกน้ำ แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นเรือนไป ส่วนพระภิกษุหนุ่มดูจะพึงพอใจมาก บ่ายวันนั้นได้มีขบวนเชิญเครื่องทำขวัญและทัพพีอันใหม่มายังบ้านท่านพระยาศิริไอยสวรรค์เจ้าของบ้าน  ท่านเจ้าของบ้านเมื่อได้เห็นวัสดุและลวดลายของทัพพีก็ทราบได้ทันทีว่าเจ้าของทัพพีเป็นใคร จึงเฝ้าถนอมรักษาบุตรีของตนไว้อย่างดีและมิให้ลงไปใส่บาตรพระอีกเลย ครั้นพระภิกษุเจ้าฟ้าจุฑามณีลาผนวชแล้ว ทรงสู่ขอบุตรีของท่านพระยาศิริไอยสวรรค์นั้นเป็นพระชายา โบราณว่าเอาไว้ " วาสนา โชคชะตา ฟ้าลิขิต ยากที่จะกำหนดได้ เมื่อพบพานถือเป็นวาสนา "


          ชื่อแต่แรกว่า " เจ้าจอมเอม "  และได้เป็น " เจ้าจอมมารดาเอม "  เมื่อเปลี่ยนรัชกาลก็เป็น" เจ้าคุณจอมมารดาเอม "  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงโปรดเกล้าให้ขนานพระนามอย่างเป็นทางการว่า  " เจ้าคุณพระชนนี"  แต่คนทั่วไปยังคงเรียกติดปากกันว่า  " เจ้าคุณจอมมารดาเอม "  เหมือนเดิม

เครดิตวิกิพีเดีย  สารานุกรมเสรี  




          สะพานข้ามไปวัดจัตุรมิตรประดิษฐาราม เมื่อเดินข้ามสะพานไป ก็แทบจะชนกำแพงวัดจุตรมิตรประดิษฐารามเลย มีเส้นทางให้เลือกว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา คือ ถ้าเลือกเดินเลี้ยวไปทางขวาแล้วหักเลี้ยวซ้ายอีกที ก็จะไปโผล่ที่วัดดาวดึงษ์โน่นเลย แต่ขอเลือกเดินเลี้ยวซ้ายไปที่วัดจุตรมิตรประดิษฐารามก่อน ค่อยไปตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อดี?



          พอเดินเลี้ยวซ้ายมือมา ก็จะผ่านป้ายวัดที่มีประตูเหล็กปิดล็อคเอาไว้ เดินไปอีกนิดเดียวก็เข้าสู่บริเวณวัดได้เลย สำหรับวัดจัตุรมิตรประดิษฐารามแห่งนี้ เป็นวัดราษฎร์ สร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เดิมเรียกว่า  “ วัดสี่จีน   โดยมีชาวจีน 4  ที่ศรัทธาในพุทธศาสนาร่วมสร้างวัดนี้ขึ้นมา และเมื่อสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “ วัดจตุรมิตรประดิษฐาราม  เมื่อปี พ.ศ. 2482

          แต่เท่าที่ได้พูดคุยกับชาวบ้านในละแวกนั้น บางคนก็เรียกว่า " วัดสามจีน " เหตุผลเนื่องจาก ตอนที่สร้างวัด 1 ใน 4 คนจีนได้เสียชีวิตไปก่อนสร้างวัดเสร็จ ก็ว่ากันไป เรียกวัดสี่จีน น่าจะถูกต้องแล้ว เพราะถ้าพูดถึงวัดสามจีน คนส่วนใหญ่คงนึกถึงวัดไตรมิตรฯ
(วัดหลวงพ่อทองคำ ย่านเยาวราช)เสียมากกว่า



           ป้ายเขตพุทธาวาส จะตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถ แต่จะอยู่ตรงข้ามกับกุฎีกับศาลาวัด เมื่อเดินลอดป้ายเข้าไป ก็จะถึงประตูทางเข้าไปในอุโบสถได้เลย


          พระอุโบสถ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2365 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงโรง ขนาด 3 ห้อง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีประดับเครื่องลำยอง บริเวณหน้าบัน ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ประดับด้วยพระพุทธรูปยืนขนาดเล็ก อุโบสถวัดนี้ ค่อนข้างแปลกไปจากวัดอื่น ตรงที่ใช้เสมา(ทาสีทอง)แบบแนบกับผนังอาคารอุโบสถ ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ประตูทางเข้าออก(มีแต่เฉพาะด้านหน้าเท่านั้น)จะมีลวดลายแบบจีนอย่างชัดเจน

          ปกติอุโบสถจะถูกปิดเอาไว้ ไม่ได้เปิดให้เข้าไปกราบไหว้ได้ จะเปิดเฉพาะช่วงวันสำคัญทางพุทธศาสนาเท่านั้น แต่วันนี้โชคดี พระคุณเจ้าที่กำลังรดน้ำต้นไม้ภายในบริเวณอุโบสถ ท่านได้เมตตาเปิดให้ได้เข้าไปกราบไหว้พระประธานภายในอุโบสถได้ แถมยังได้เล่าประวัติดั้งเดิมของวัดและชุมชนแถวนี้ให้ได้รู้อีกด้วย ต้องขอขอบพระคุณท่านมา ณ ที่นี้ด้วย







          เป้าหมายต่อไปก็คือ ไปเก็บภาพย้อนอดีต “ บ้านบางยี่ขัน “ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สอบถามเส้นทางเดินไปจากพระคุณเจ้าแล้ว เดินออกจากวัด ไปตามเส้นทางเล็กๆสู่ชุมชนวัดดาวดึงษ์ ถิ่น “ เน วัดดาว “ ที่โด่งดังทาง youtube และทีวี



          พอเดินไปถึงสี่แยก(ก่อนถึงประตูวัดที่ถนนใหญ่) ให้เดินเลี้ยวซ้าย ตรงเข้าไปในตรอกขนาดเล็ก กว้างประมาณ 2.5 เมตร ผ่านเข้าไปในชุมชนวัดดาวดึงษ์ สองข้างทางเป็นบ้านไม้เก่าๆ มีของขายตลอดเส้น มีทั้งของกินอร่อยๆเยอะแยะไปหมด อดใจไม่ได้ต้องแวะอุดหนุนซื้อของกินและพร้อมกับสอบถามเส้นทางไปเรื่อยๆ ได้บรรยากาศย้อนยุคตามวิถีชีวิตแบบเก่าๆผสมยุคใหม่ คนแถวนี้ล้วนแต่รู้จักกันแทบจะเกือบทุกบ้าน ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มญาติพี่น้อง เท่าที่พูดคุยด้วย มีความเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวสูงมาก

          แม่ค้าแถวนี้บอกว่า ที่นี่แต่ก่อนจะเป็นย่านชุมชนที่รุ่งเรืองมาก เพราะจะมีเรือข้ามไปฝั่งพระนคร ที่ท่าเรือพระอาทิตย์ได้ตลอดเวลา มีของอร่อยขึ้นชื่อมากมายหลายเจ้า หลังจากหยุดให้บริการเรือข้ามฟากไปเมื่อ เกือบ 10 ปีที่แล้ว ตอนนี้เลยเงียบอย่างที่เห็น



          เดินต่อมาถึงเกือบกลางซอย เห็นร้านขายกาแฟโบราณ ขอแวะทดลองชิมกาแฟเย็นดูหน่อยว่ารสชาติจะอร่อยมากแค่ไหน? แล้วก็ไม่ผิดหวัง อร่อยถูกใจมากเลย รสชาติไม่อ่อนไม่เข้มและไม่หวานจนเกินไป ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อยและดูดกาแฟไปพลางๆ มีโอกาสได้คุยกับคนขายกาแฟ ผมลองถามว่ารู้จัก “ เน วัดดาว “ ไหม? แกตอบว่า “ ไม่รู้จัก “ ซึ่งทำให้งงไปเหมือนกัน คนดังขนาดนี้ ทำไม? คนในชุมชนวัดดาวดึงส์เอง ไม่รู้จัก ก่อนหน้านี้ ก็ถามอีกคน เขาก็บอกเหมือนกันเลยว่า “ ไม่รู้จัก “ ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ แค่ถามหาคนดังเท่านั้นเอง ความจริงคงต้องรู้จักอยู่แล้วล่ะ แต่อย่างว่า มีคนแปลกหน้ามาถามหา เขาก็ต้องตอบแบบนี้แหละ(เราก็ไม่น่าถามเลย เกิดเข้าใจผิดกันเข้า จะไปกันใหญ่)


          เมื่อเดินมาสุดเส้นทางที่ท่าน้ำวัดดาวดึงษ์(อดีตท่าเรือข้ามฟากไปท่าเรือพระอาทิตย์ ดำเนินการโดยบริษัท สุภัทรา จำกัด) เท่าที่ได้คุยกับคนในชุมชนวัดดาวดึงษ์ ทราบว่าสมัยก่อนชุมชนแถวนี้ เคยรุ่งเรื่องและเฟื่องฟูมาก การค้าขายในตรอกซอยที่เดินผ่านมา จะคึกคักตลอดเวลา แต่หลังจากกิจการเรือข้ามฟากได้ยุติตัวลง ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนนี้เปลี่ยนไป  ในที่สุดร้านค้าของชำก็ต้องทยอยปิดตัวลง เพราะค้าขายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว  ร้านขายอาหาร กับข้าวต่างๆ ก็ไม่สามารถอยู่ได้ บางส่วนก็ต้องออกไปค้าขายในย่านแหล่งธุรกิจที่ไกลจากชุมชน แต่ละวันก็ต้องตื่นตั้งแต่เช้า เดินเท้าออกจากบ้านไปยังวินมอเตอร์ไซค์ เพื่อต่อรถออกไปยังป้ายรถเมล์เชิงสะพานปิ่นเกล้าแทน

          ตรงศาลาท่าน้ำ จะมีรถมอเตอร์ไซค์เรียงจอดอยู่หลายคัน ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะนั่งเรือข้ามไปท่าพระอาทิตย์ และเดินไปสวนสันติชัยปราการ เพื่อซูมกล้องถ่ายภาพ “ บ้านบางยี่ขัน “ จากฝั่งพระนคร  แต่พอรู้ว่าเขาเลิกให้บริการเรือข้ามฟากไปแล้วเกือบ 10 ปี แผนที่วางไว้ก็ต้องพับไป

          ขณะที่นั่งพักเหนื่อยตรงศาลาท่าน้ำ มีน้องที่มีบ้านอยู่ติดกับศาลาท่าน้ำ เปิดประตูบ้านออกมา จึงได้โอกาสถามว่าทางที่จะไป “ บ้านบางยี่ขัน “ มีเส้นทางเดินไปถึงได้หรือเปล่า? เขาตอบกลับมาว่า " มีอยู่ครับ " แต่ต้องเดินไต่ไปตามกำแพงคอนกรีตริมน้ำไป รู้สึกจะมีประตูไม้ปิดกั้นเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะห้ามไม่ให้เข้าไปหรือเปล่า? อ้อ! เดี๋ยวนี้ทำเป็นโรงแรมหรูแล้ว ชื่อ “ โรงแรมพระยา พาลาซโซ “ นะครับ

ข้อมูลน่ารู้ 

          บ้านบางยี่ขัน เป็นสถาปัตยกรรมยุโรป เดิมเคยเป็นบ้านของอำมาตย์เอก “ พระยาชลภูมิพานิช (ไคตั๊ค) “ ขุนนางไทยเชื้อสายจีน และ คุณหญิงส่วน อดีตข้าหลวงของพระพันปีหลวงในรัชกาลที่ ตัวตึกเป็นคอนกรีต ชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวขนานไปกับลำน้ำเจ้าพระยา ด้านหน้าอาคารมีบันไดหินอ่อนขึ้นลงทั้งปีกซ้ายขวา ชั้นล่างทำเป็นช่องซุ้มโค้งอย่างตะวันตกหลายช่อง ที่ช่องลมประดับกระจกสีเป็นแฉกรัศมีพระอาทิตย์ครึ่งดวงและประดับลายฉลุไม้เป็นซุ้มเครือเถา บานประตูห้องโถงกลางฉลุไม้ทั้งแผ่น ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นอาคารทรงยุโรปแบบ Vernacular Classic Style " ซึ่งเป็นรูปแบบทางที่ปรุงแต่งตามรสนิยมของท้องถิ่น มีการตกแต่งรายละเอียดของอาคารอย่างประณีตบรรจง สร้างเสร็จใน ปี พ.ศ.2466 ในสมัยรัชกาลที่6

          เคยเป็น " โรงเรียนราชการุญ " เจ้าของ : มูลนิธิมุสลิมกรุงเทพวิทยาคาร แต่ได้เลิกดำเนินกิจการ เมื่อปี พ.ศ.2521 อาคารถูกให้เช่าโดยโรงเรียนอินทรอาชีวศึกษา ในเวลาต่อมาก็ถูกปิดตัวลงเช่นกัน(ชาวบ้านแถวนี้บอกว่า สาเหตุเพราะตีกันบ่อย)

          หลังจากนั้น อาคารจึงถูกปล่อยทิ้งร้าง มีสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลา ขาดการดูแลรักษา อีกทั้งที่ตั้งของอาคารที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงที่มีกระแสน้ำแรงเซาะตลิ่งจึงเป็นการเพิ่มปัญหาให้รุนแรงมากขึ้นด้วย อาคารหลังนี้มีโครงสร้างของฐานอาคารแบบโบราณ นั่นคือ ปูด้วยท่อนซุงขนาดใหญ่เป็นตาราง เพื่อกันการทรุดตัวของดินอ่อนริมแม่น้ำ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคณะกรรมการมูลนิธิมุสลิมกรุงเทพฯ วิทยาทาน


          เอาน่ะ มาถึงแทบจะชนจมูกอยู่แล้ว เอาสะพายกระเป๋ากล้องและคล้องทับด้วยขาตั้งกล้อง พะรุงพะรังน่าดู พร้อมที่จะเสี่ยงกันหน่อยล่ะ หากเดินไปถึงเขาไม่อนุญาตให้เข้าไป ก็เดินกลับแค่นั้นเอง ไม่เห็นจะเป็นไรเลย กระชับกระเป๋ากล้อง เอาขาตั้งกล้องเหวี่ยงไปไว้ด้านหลัง ก้าวเท้าขึ้นบนกำแพงคอนกรีตที่เขาสร้างไว้กันคลื่น ค่อยๆเดินกระดืบๆไปบนกำแพงแคบๆ มือข้างซ้ายก็เตรียมขยุ้มตาข่ายเหล็กที่ทำไว้(กันตก) หากพลาดเสียการทรงตัว ก็คงร่วงตกน้ำแน่นอน

          แต่ในที่สุด ก็สามารถเดินผ่านไปได้ ช่วงเป็นที่โล่งๆ สามารถเดินแกว่งแขนขาได้สะดวกสบายขึ้น ด้านซ้ายมือ มีการทำบันไดคอนกรีตช่วงสั้นๆไว้ให้เดินลงไปข้างล่างไว้ด้วย ส่วนด้านหน้า มองเห็นประตูไม้ปิดกั้นเส้นทางเอาไว้อยู่ไม่ไกลนัก



          ในที่สุดก็มาถึงสถานที่เก่าแก่ดั้งเดิม ซึ่งในอดีต เรียกกันว่า “ บ้านบางยี่ขัน “ จนได้ โอ้! พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก มันช่างหรูหราอลังการงานสร้างอะไรขนาดนี้ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมที่นี่มันช่างเงียบเชียบและวังเวงเหลือเกิน เหมือนปราสาทท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าในหนังผีสยองขวัญที่เคยดูมาเหลือเกิน คนไปไหนกันหมด พนักงานประจำเคาน์เตอร์บาร์ที่ดูแลตรงสระน้ำก็ไม่มีสักคน แขกที่มาพัก ก็ไม่เห็นเหมือนกัน ดูลึกลับยังไงชอบกล แล้วจะสอบถามและขออนุญาตใครกันได้ล่ะ ครั้นจะเดินดุ่มๆเข้าไปด้านในเลย ก็ดูจะเป็นการถือวิสาสะเกินไปเอาไงดี?

          ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันว่า ตอนนี้ “ บ้านบางยี่ขัน “ ได้ถูกปรับปรุงจนกลายเป็นโรงแรมหรูไปแล้ว ชื่อว่า “ พระยา พาลาซโซ (Praya palazzo) เมื่อมาถึงแล้ว ก่อนอื่นต้องหาทางขออนุญาตเจ้าของหรือผู้ดูแลรับผิดชอบเขาก่อน 









          แถวๆสะพานท่าเรือ ที่มีเรือจอดอยู่ น่าจะมีพนักงานประจำอยู่นะ เดี๋ยวลองเดินไปดูใกล้ๆดีกว่า คงจะเข้าท่ากว่าการที่ต้องยืนมองอยู่ตรงนี้(มันร้อนจริงๆ)  ในที่สุดก็เดินตรงมาจนถึงที่เรือจอดอยู่ ส่วนด้านซ้ายมือ จะมีป้ายที่ชื่อว่า “ พระยา พาลาซโซ (Praya palazzo) ขอเก็บภาพไว้หน่อย



          ถัดไปอีกนิด ก็น่าจะเป็นสำนักงานหรือเคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรม  เดินไปหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้าสำนักงานฯ ยืนกระแอมกระไอเพื่อให้คนข้างในได้ยินเสียง เผื่อจะได้เดินออกมาดูว่ามีใครมาทำอะไรแถวนี้ แต่ก็เงียบสนิทเหมือนเดิม เงียบมากจริงๆ เหมือนไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว ชักไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ เหมือนเรามาบุกรุกที่ส่วนบุคคลอย่างไรไม่รู้ แม้โรงแรมจะเป็นที่ประกอบการค้าในการให้บริการที่พักกับบุคคลทั่วไปก็ตามเถอะ หันกลับไปมองทางที่เดินมาเมื่อสักครู่ เอาไงดี? สักพักใหญ่ๆ จึงตัดสินใจเดินกลับไปทางเก่าที่เดินมาดีกว่า เอาไว้มาใหม่น่าจะดีที่สุด



          เดินผ่านประตูทางเข้า ที่สามารถมองเห็นตัวอาคารและบริเวณด้านในของโรงแรมฯอย่างชัดเจนเต็มสองตา ขากลับเลือกลงมาเดินตรงทางเดินข้างล่าง ทำให้อยู่ใกล้ชิดกับอาคารที่พักของโรงแรมมากขึ้น  ฟ้ากำลังสวย อดใจไม่ได้ที่จะหันไปเก็บภาพสวยๆเอาไว้สักภาพสองภาพ




          หลังจากนั้นก็เดินต่อจนมาถึง บริเวณที่ใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์และสระว่ายน้ำของโรงแรม มุมนี้สวยมาก โดยเฉพาะภาพที่มองเฉียงไปยังอาคารโรงแรม ถัดลงมาก็จะมีสระว่ายน้ำที่มีน้ำสีเขียวมรกต ซึ่งตัดกับสีของท้องฟ้า และด้านข้างๆริมสระว่ายน้ำ(ส่วนที่อยู่ติดกับตัวอาคารโรงแรม) จะมีเตียงไว้นอนพักผ่อน ส่วนอีกฟากตรงข้าม(ด้านที่ติดกับทางกำแพงกันคลื่นริมน้ำ) ก็จะมีเก้าอี้ไว้นั่งพักผ่อน สำหรับคู่รัก 2 คน ที่มานั่งคุยกันกะหนุงกะหนิง บรรยากาศแบบนี้ เหมาะสมแล้วกับการเป็นสถานที่สำหรับอนุสรณ์แห่งความรัก “ เรือนหอบางยี่ขัน “ (ใครอยากรู้เรื่องราวซึ้งๆน่ารักๆอ่านต่อข้างล่างได้เลย)



----------------------------------------------------

ข้อมูลน่ารู้ : อนุสรณ์แห่งความรัก “ เรือนหอบางยี่ขัน “ 

          ในสมัยรัชกาลที่5  " หลวงชลภูมิพานิช " ข้าราชการผู้น้อยลูกหลานชาวจีน เข้ารับราชการอยู่ที่กรมท่าซ้ายในกระทรวงมหาดไทย วันหนึ่งได้บังเอิญไปพบกับ " นางสาวส่วน " บริเวณหน้าประตูวังหลวง เกิดมีใจรักและเสน่หาในตัวสาวเจ้าส่วนตั้งแต่แรกพบ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปสนทนาทำความรู้จัก ด้วยความที่เป็นชายหนุ่มไม่ค่อยกล้าจะแสดงออก จึงทำได้แค่เพียงมายืนดักรอแอบมองดูอยู่แถวหน้าประตูวัง หวังว่าจะได้พบนางอีกสักครั้ง

          แท้จริงแล้ว นางสาวส่วน " เป็นข้าหลวงในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ แม่ได้นำมาถวายเป็นข้าหลวงตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้รับการอบรมในราชสำนักเป็นอย่างดี มีความเป็นกุลสตรีทุกระเบียบนิ้ว และค่อนข้างจะถือเนื้อถือตัวมาก ไม่เปิดโอกาสให้ชายใดมาทำความรู้จักได้อย่างง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ " หลวงชลภูมิพานิช " จึงไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักหรือพูดคุยเลย เมื่อถึงเวลาพักหรือเสร็จราชการเป็นอันต้องไปดักรอดูสาวที่หมายตาไว้อยู่ร่ำไป

           จนกระทั่งก็ได้ทราบไปถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงปรึกษากับสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี สุดท้ายจึงมีพระบรมราชานุญาตให้ทั้งคู่ได้ลองทำความรู้จักและคบหาสมาคม โดยเริ่มจากการส่งจดหมายหากันและพบเจอกันได้ในบางโอกาส ในที่สุด " นางสาวส่วน " จึงถวายบังคมลาจากการเป็นข้าหลวงเพื่อทำการสมรสกับ" หลวงชลภูมิพานิช " สร้างความปิติยินดีให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังที่เอาใจช่วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกรมท่าซ้าย และราชสำนักสมเด็จพระบรมราชินีนาถ 

          ด้วยอานุภาพแห่งความรัก " หลวงชลภูมิพานิช " จึงสร้างเรือนหอริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้แก่หญิงผู้เป็นที่รัก ซึ่งต่อมาเรียกว่า " บ้านบางยี่ขัน "  เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น " พระยาชลภูมิพานิช " และได้รับพระราชทานนามสกุลประจำตระกูลคือ “ อเนกวณิช  ท่านพระยาฯกับคุณหญิงครองรักกันอย่างมีความสุข พร้อมพยานรักอีกถึง10 คน อาศัยอยู่ในบ้านบางยี่ขันเรื่อยมา จนกระทั่งถึงยุคที่ผู้คนไม่นิยมสัญจรทางเรือ แต่เปลี่ยนไปสัญจรเส้นทางบนถนนแทน ด้วยบ้านบางยี่ขันที่มีทางเข้าออกแค่ทางเรือเท่านั้น จึงทำให้ไม่สะดวกในการเดินทาง ในปี พ.ศ. 2487 คุณปานจิดต์ บุตรชายคนที่ 7 จึงตัดสินใจขายบ้านบางยี่ขันให้แก่ " กลุ่มมุสลิมบางกอกน้อย " เพื่อใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนราชการุญ ซึ่งต่อมาได้ปิดกิจการไป

          ปัจจุบัน " บ้านบางยี่ขัน " ได้รับการบูรณะเป็นโรงแรมหรู โดยยังคงเสน่ห์ของความเป็นเรือนหอที่สร้างขึ้นจากความรัก โรงแรมหรูแห่งนี้ชื่อว่า Praya Palazzo " หมายถึง คฤหาสน์แห่งพระยาชลภูมิพานิช คนที่มีโอกาสได้มาเยือนโรงแรมแห่งนี้ ก็คงสามารถรับรู้ได้ว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นจากความรักจริงๆ และใครที่อยากจะมาฉลองแต่งงานที่นี่ ก็น่าจะถูกใจกับบรรยากาศย้อนอดีตตำนานบ้านแห่งความรักแห่งนี้แน่นอน 

ที่มาข้อมูล : ประวัติความเป็นมา จากผนังห้องอาหาร (พนักงานเจ้าหน้าที่) โรงแรมพระยาพาลาซโซ
เครดิต : คุณ Old Siam Columbus คลังประวัติศาสตร์ไทย

----------------------------------------------------

          ได้เวลาเดินไต่กำแพงริมน้ำกลับออกไปกันแล้ว ก่อนกลับหันไปมองดูฝั่งตรงข้ามโรงแรม“ พระยา พาลาซโซ (Praya palazzo)   นั่นก็คือ " สวนสันติชัยปราการ "  เอาไว้เราจะไปเดินเที่ยวกันต่อในคราวหน้าละกัน ตอนนี้แสงแดดอยู่เกือบจะตรงศีรษะพอดี มองดูนาฬิกา เวลา 11.13 น. ได้เวลาไปต่อกันแล้ว ขากลับเดินได้ค่อนข้างรวดเร็วกว่าตอนเดินเข้ามา เพราะเริ่มคุ้นเคยกับเส้นทางที่เดินมาก่อนหน้านี้



          เมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณศาลาท่าน้ำวัดดาวดึงษ์ น้องคนที่บอกทางก็โผล่หน้าออกมาถามว่า " โอเคไหมครับ " ก็ตอบกลับไปว่า " โอเคครับน้อง " ได้ถ่ายภาพมาหลายภาพเลย ขอบคุณที่ช่วยแนะนำนะ หลังจากนั้นก็เดินย้อนกลับมายังถึงตรงสี่แยกที่เดินเลี้ยวเข้ามาเมื่อสักครู่ ยืนตัดสินใจลังเลว่า จะเดินเลี้ยวซ้ายผ่านชุมชนโค้งถ่าน - สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน ก่อนเดินออกทะลุไปป้ายหยุดรถเมล์ตรงใกล้ๆกับเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าโน่นเลย หรือจะเดินผ่านสี่แยกตรงไปยังวัดดาวดึงษ์กันก่อน

          จากการพูดคุยกับชาวบ้านแถวนั้น แนะนำให้ไปวัดดาวดึงษ์ก่อน เพราะมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ แถมหลบแดดร้อนๆไปด้วย แล้วให้เดินต่อไปยังวัดบางยี่ขันโน่นเลย ถัดจากนั้นจึงค่อยเดินไปอีกไม่ถึง 50 เมตรก็เจอถนนใหญ่แล้วดักขึ้นรถเมล์ร่วมสาย 57 ไปต่อได้เลย เพราะรถเมล์ฯสายนี้ก็จะโค้งอ้อมไปตรงป้ายหยุดรถเมล์ตรงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าอยู่ดีนั่นแหละ


          สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินไปย้อนอดีตที่วัดดาวดึงษ์กันก่อนที่จริงมันมีถนนใหญ่ที่ขนานกันไปกับทางตรอกเล็กๆที่เดินไป แต่เดินถนนใหญ่มันจะโค้งอ้อมไกลกว่าและต้องเดินตากแดดไป ส่วนเส้นทางภายในตรอกเล็กๆตามภาพที่เห็น ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแถวไม้เรียงรายกันไปทั้ง 2 ฝั่งถนนในตรอก สามารถเดินหลบแสงแดดร้อนๆได้เป็นระยะๆไปตลอดเส้นทางของตรอกเลยทีเดียว



          สิ่งที่ขึ้นชื่อของวัดดาวดึงษ์ ก็คือ " ภาพจิตรกรรมฝาผนัง " ที่สวยงามมาก(อีกแห่งคือวัดบางยี่ขัน ซึ่งอยู่ถัดไป) ทราบจากพระคุณเจ้าจากวัดจตุรมิตรประดิษฐาราม ที่เพิ่งไปแวะมา นอกจากนี้ ยังมีหอระฆังที่ลักษณะเป็นเครื่องก่ออิฐถือปูน รูปแบบเลียนแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก ที่นิยมแพร่หลายในระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5)

          และวัดนี้เอง ที่ท่านมุ้ย(หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) เป็นคนนำ " สรพงษ์ ชาตรี " จากศิษย์วัดดาวดึงษาราม จากที่ไม่มีอะไรเลย มาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ผู้มีความสามารถโด่งดัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศและได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง (ชาวบ้านที่นี่เล่าให้ฟัง)

          หลายท่านคงไม่ทราบว่า “ ขนมไข่เหี๊ย “ นั้น " เจ้าจอมแว่น " พระสนมเอกในรัชกาลที่ 1 เป็นผู้มีฝีมือในการปรุงอาหารและเป็นผู้คิดประดิษฐ์ขนมไข่เหี้ย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(รัชกาลที่ 1) ทรงมีพระราชประสงค์จะเสวยไข่เหี้ยกับมังคุด แต่หาไม่ได้ เจ้าจอมแว่นจึงได้คิดประดิษฐ์ ขนมชนิดนี้ขึ้นมาถวายแทน

ที่มาข้อมูล : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ข้อมูลน่ารู้ : 

          วัดดาวดึงษ์ ชื่อเต็ม คือ " วัดดาวดึงษาราม " เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี สร้างขึ้นมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1)โดย " เจ้าจอมแว่นหรือคุณเสือ " พระสนมเอกในรัชกาลที่ 1 สร้างขึ้นทำด้วยเสาไม้แก่น พระอุโบสถก่ออิฐสูงพ้นพื้นดินประมาณ 2 ศอก ชาวบ้านเรียกว่า วัดขรัวอิน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ข้าราชการฝ่ายในขื่อ " อิน " ซึ่งเป็นญาติของเจ้าจอมแว่นได้ปฏิสังขรณ์วัดนี้ เหตุด้วยผู้ครองวัดและผู้ปฏิสังขรณ์วัดมีนามเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ 2) จึงพระราชทานนามวัดนี้ว่า “ วัดดาวดึงษาสวรรค์  หมายถึง สวรรค์ชั้นที่พระอินทร์สถิตย์อยู่ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) ทรงพระราชทานเปลี่ยนนามใหม่ว่า “ วัดดาวดึงษาราม "



          หลังจากแวะกราบไหว้พระพุทธรูปบริเวณศาลากุฎีแล้ว จึงเดินข้ามถนน(เส้นเดิมที่เดินมาจากศาลาท่าน้ำ) เพื่อจะไปแวะถ่ายภาพและไหว้พระที่พระอุโบสถ

          ด้านหน้าพระอุโบสถ จะมีลานกว้างๆปูด้วยกระเบื้อง เจ้าถิ่นที่เจอกันตอนแวะเข้าไปไหว้พระตรงศาลากุฏีด้วยกันเล่าให้ฟังว่า มีมานานแล้ว แต่ก่อนจะเป็นลานดินกว้างๆธรรมดานี่แหละ ปกติตรงลานดินกว้างๆตรงนี้ จะมีหนังกลางแปลงมาฉายให้ดูเป็นประจำ ส่วนสีสันของตัวพระอุโบสถ เมื่อมองดูผ่านลานกว้างที่ปูกระเบื้องที่มีสีสันตัดกันสวยงามจริงๆ ตอนที่มาแวะนั่งหลบแดดและพักเหนื่อยเอาแรง เลยถือโอกาสชมดูความงดงามของพระอุโบสถที่อยู่ตรงหน้า ช่วงแดดจัดๆแบบนี้ มักมีกระแสลมเย็นๆพัดโชยขึ้นมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาเสมอๆ แทบจะนั่งหลับกันไปเลยทีเดียว




          พระอุโบสถด้านในมีสีสันสดใส เมื่อถ่ายภาพกับท้องฟ้าที่มีสีฟ้าเข้มสดใสเหมือนกัน ก็กลายเป็นภาพที่สวยงามประทับใจ ตากล้องทั้งมือใหม่หรือมือเก่า ก็มักจะชอบท้องฟ้าสวยๆแบบนี้กันทั้งนั้น


          เดินผ่านประตูกำแพงแก้วของพระอุโบสถเข้ามาด้านใน เราไปดูภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามกันบ้าง ตรงประตูทางเข้าไปด้านในพระอุโบสถ ให้สังเกตที่บานประตูทั้ง 2 บาน แต่ละข้างของบานประตู จะวาดเป็นภาพยักษ์ 2 ตน ในมือถือกระบองยืนอยู่ ตามคติความเชื่อแต่โบราณเชื่อว่า “ ทวารบาล   หรือ “ ผู้เฝ้าประตู  สามารถเฝ้ารักษาพระอุโบสถให้ปราศจากอันตราย และการรบกวนของภูตผีปีศาจ จากเรื่องเล่าต่อๆกันมาเกี่ยวกับยักษ์สองตนชื่อ " สาตาเศียร " กับ " เหมวัติสิง " ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำคงคา ได้นำบริวารมาเข้าเฝ้า และสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้ปวารณาตนเป็นข้าช่วงใช้ เรียกง่ายๆว่า มาสมัครเป็นข้ารับใช้ว่างั้นเถอะ จนกลายเป็นคติการสร้างรูปปั้นยักษ์เฝ้าวัดมาถึงปัจจุบัน นี่ก็เท่ากับว่ามนุษย์เชื่อว่า โลกนี้มียักษ์อาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว...ประมาณนี้

          เขียนรูปภาพด้วยสีน้ำกาว เป็นภาพแสดงเรื่อง " มโหสถชาดก " นัยว่าเป็นฝีมือครู “ คงแป๊ะ “ ช่างเขียนมีชื่อในสมัยรัชกาลที่ 3 สังเกตการเขียนภาพของท่าน ใช้ลายเส้นแบบเกล็ดปลาซ้อนกันไปมา ไม่ได้ระบายสีแบบไล่น้ำหนักแสงเงาตามที่นิยมในโลกตะวันตก ฝาผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพแสดงเรื่องเวสสันดรชาดก ฝาผนังด้านข้างทั้ง 2 ด้าน รูปภาพของเดิมเสียหายลบเลือนไปหมด

          ในปัจจุบันได้เขียนภาพเรื่อง " ทศชาติ " เพิ่มอีกจำนวน 9 ภาพ ซึ่งได้รับความอุปถัมภ์การเขียนภาพจาก " คุณหญิงสลวย ปาณิกบุตร " เมื่อ พ.ศ. 2540 โดยช่างเขียนกลุ่ม " บ้านศิลปะ " ฝาผนังในห้องเล็กตอนหน้าพระประธานออกมา ด้านในเขียนภาพแสดงเรื่อง " นางสามาวดี " ผนังด้านตรงข้ามเขียนภาพแสดงเรื่อง " พระพุทธโฆษาจารย์ไปแปลพระไตรปิฎกที่เกาะลังกา " ส่วนห้องเล็กต่อผนังด้านหลังพระประธานออกไปเขียนภาพแสดงเรื่อง " ทธิวาหนะ " ผนังด้านตรงกันข้ามเขียนภาพแสดงเรื่องเดียวกัน แต่ชำรุดมากไม่อาจทราบได้ว่าเขียนเรื่องอะไร?



          ตอนที่เดินเข้าไปพระอุโบสถ เหลือบไปเห็นช่างเขียนแก้ไขภาพที่ลบเลือนอยู่เงียบๆ อยากจะถามแต่ก็เกรงใจไม่กล้ารบกวนสมาธิในการทำงาน ใช้เวลาถ่ายภาพอยู่ไม่นานนักก็เดินกลับออกมา ก่อนกลับเห็นกระจกใหญ่บานหนึ่งสวยงามถูกใจมาก เลยเก็บภาพมาฝาก




          ออกจากวัดดาวดึงษาราม ใช้เส้นทางเดิม เดินตรงต่อไป ระหว่างทางจะมีห้องแถวไม้เก่าๆสลับกับกับห้องแถวไม้แต่ด้านล่างเป็นคอนกรีต ไม่นานก็ทะลุมาจนถึงวัดบางยี่ขัน ระยะทางน่าจะประมาณ 350 เมตรเท่าน้ัน เดินดูนั่นดูนี่ไปเพลินๆ ไม่นานก็ถึง




          เดินมาถึงวัดบางยี่ขัน มองเลยไปก็เห็นถนนอรุณอัมรินทร์ ที่โค้งมาจากสะพานพระราม 8 แวะถ่ายภาพที่ป้ายวัดหน้าอุโบสถเก่า ก่อนเข้าไปกราบไหว้ " หลวงพ่อนาค " อยู่ตรงด้านหน้าอุโบสถ เล่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ใครมาอธิษฐานขอสิ่งใดมักสำเร็จทุกราย

          เป็นที่น่าเสียดาย ที่วันนี้ไม่สามารถเข้าไปดูจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามได้ โดยเฉพาะภาพเขียนที่อยู่ด้านหลังพระประธานในอุโบสถ เป็นภาพ " พระพุทธเจ้าประทับดอกบัว " มีเหล่าสาวกและมวลเหล่าสัตว์ต่างๆ เฝ้าอยู่เบื้องล่าง มีความงดงามเป็นพิเศษและแตกต่างจากที่อื่น เชื่อกันว่า เป็นฝีมือครู “ คงแป๊ะ " ช่างเขียนมีชื่อในสมัยรัชกาลที่ 3 ยุคเดียวกับวัดดาวดึงษาราม แต่ก็มีอีกกระแสก็บอกว่า เป็นฝีมือครู “ คงแปะ “ แข่งประชันกับครู “ ทองอยู่ “ ซึ่งเป็นครูเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือเยี่ยมทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่ง ในยุคเดียวกัน ครูทั้งสองท่าน ชอบแข่งประชันฝีมือกันอยู่เสมอ โดยว่ากันว่า ท่านทั้งสองแข่งประชันกันที่วัดนี้เป็นวัดสุดท้าย

          เนื่องจากทางวัดไม่เปิดให้เข้าไปในอุโบสถ ไม่ทราบด้วยสาเหตุอะไร? ทั้งๆที่วันที่มานี้เป็นวันอาทิตย์ ออกมาด้านนอกมองดูก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ เนื่องจากอยู่ใจกลางชุมชนเมืองยุคใหม่ วุ่นวายไปหมด ก็เลยตัดสินใจเดินทะลุไปที่ปากซอยถนนอรุณอัมรินทร์ ระยทางแค่ประมาณ 100 เมตรเอง แล้วก็เดินเลี้ยวซ้ายไปรอที่ป้ายหยุดรถเมล์ เพื่อรอรถเมล์สาย 57 เป้าหมายก็คือ " โรงพยาบาลศิริราช "




          ยืนรอรถเมล์ไม่ถึง 10 นาที รถเมล์ร่วมสาย 57 (ค่ารถ 9 บาท) นั่งตรงไปจนถึงแยกอรุณอัมรินทร์ รถเมล์จะเลี้ยวซ้ายวิ่งไปกลับรถใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายไปตามถนนอรุณอัมรินทร์ไปทางโรงพยาบาลศิริราช


          ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 10 นาทีได้มั๊ง รถเมล์ก็วิ่งเข้าไปจอดที่ป้ายหยุดรถเมล์หน้าโรงพยาบาลศิริราช ลงรถเมล์แล้วเดินเข้าไปเข้าห้องน้ำของโรงพยาบาล แวะล้างหน้าล้างตาและรับแอร์เย็นให้สดชื่นบ้าง หลังจากเดินตากแดดเปรี้ยงๆมาเกือบครึ่งค่อนวัน ก่อนจะเดินทะลุตึกอาคารของโรงพยาบาลศิริราช ไปยังวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป

          เดินไหลตามกระแสผู้คนในซอยคู่ขนานกับถนนข้างๆโรงพยาบาลศิริราช แต่มาสะดุดตากับรถขายไอศกรีมเจ้านี้ มีคนรอซื้อเยอะมาก ถ้วยไอศกรีมที่ถืออยู่ ราคา 10 บาทเท่านั้น รสชาติกำลังดี ไม่หวานมากนัก อร่อยถูกใจ อากาศร้อนๆแบบนี้ ต้องขอจัดไป 2 ถ้วยละกัน




          เดินผ่านกำแพงวังหลัง คำนวณด้วยสายตา ความยาวน่าจะประมาณประมาณ 10  เมตร วังเดิมคือ “ วังสวนมังคุด “ อายุประมาณ 240 ปี(ข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2558) ใครหลายคนคงไม่ค่อยรู้ว่าเป็นกำแพงอะไร เดินผ่านไปผ่านมาบ่อยครั้ง ก็เห็นแต่มีรถมอเตอร์มาจอดเป็นประจำ เดินเลี้ยวซ้ายมา ตรงมุมโค้งไปทางขวามือ จะเป็นที่พัก “ สุภัทราริเวอร์เฮ๊าส์ “

ข้อมูลควรรู้ : เมื่อราว ปี พ.ศ. 2310 ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พร้อมพระราชวงศ์พากันอพยพมายังกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี(พระพี่นางพระองค์ใหญ่) ได้เสด็จประทับอยู่ด้านเหนือวัดระฆังเรียกกันว่า วังสวนมังคุด (ทรงทำสวนมังคุดและลิ้นจี่) เมื่อ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์สิ้นพระชนม์แล้ว กรมหมื่นเทวานุรักษ์ (พระโอรส) ได้ครอบครองวังต่อมาและได้เรียกวังสวนมังคุดว่า วังกรมเทวา กรมหมื่นเทวานุรักษ์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 4 และหม่อมเจ้าในกรมขุนอิศรานุรักษ์อยู่กันต่อมาจนถึง ม.ร.ว.สวัสดิ์ อิศรางกูรได้ครอบครองสิทธิ์ ต่อมาจนถึง ม.ล.หญิงรำไพ อิศรางกรู ผู้เป็นธิดาปัจจุบันบุตรและหลานเชื้อสายใน ม.ล.กร และ ม.ล.หญิงรำไพ อิศรางกูรยังอยู่กันมาถึงปัจจุบัน



          เดินผ่านโรงละครและโรงเรียนฝึกฝนด้านการแสดง ของครู “ ภัทราวดี มีชูธน “ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ถือเป็นศิลปินผู้เชี่ยวชาญการแสดงชั้นครูลำดับต้นๆของเมืองไทย ก่อนเดินทะลุไปโผล่ที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

          จากหน้าประตูวัด ยาวไปจนถึงท่าเรือข้ามฝาก หากใครข้ามเรือมาจากฝั่งพระนคร ตรงท่าเรือ “ ท่าช้าง “ หรือจากเรือด่วนเจ้าพระยา เมื่อขึ้นที่ท่าน้ำ ก็จะต้องเดินผ่านถนนสายทำบุญ ก่อนถึงประตูเข้าไปพระอุโบสถ เพราะจะมีของเกี่ยวกับการทำบุญมาบริการให้เยอะแยะเต็มไปหมด
ภายในอุโบสถก็จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มาทำบุญและกราบไหว้พระประธาน และองค์จำลอง " หลวงพ่อโต " หรือ " สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) " พร้อมสวดพระคาถาชินบัญชรกันดังกระหึ่มไปทั่ว ใครใคร่จะทำบุญอะไรแบบไหนเลือกทำได้อย่างเต็มที่ทีเดียว ส่วน “ หอพระไตรปิฎก “ กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงและบูรณะ เลยไม่ได้เข้าไปดู

ข้อมูลควรรู้ : 

          วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ชั้นโท ตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง เดิมชื่อ " วัดบางหว้าใหญ่ " เป็นวัดโบราณมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้สังคายนาพระไตรปิฎกที่นี่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการขุดพบระฆังโบราณในเขตวัด ประชาชนจึงเรียกว่า “ วัดระฆัง “ ตั้งแต่นั้นมา แต่ตัวระฆังซึ่งมีเสียงดี รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)

          สิ่งสำคัญในวัดได้แก่ " ตำหนักทอง " ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและสมเด็จพระสังฆราช(ศรี) พระอุโบสถกับหอพระไตรปิฎกที่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้าง ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังประดับทั้งสองหลัง

          สถาปัตยกรรมไทยในวัดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่างามยิ่ง คือ " หอพระไตรปิฎก " เดิมอยู่กลางสระที่ขุดขึ้นด้านหลังพระอุโบสถ สร้างเป็นเรือนแฝด 3 หลัง ด้วยไม้ที่รื้อพระตำหนักและหอนั่งเดิมของรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งยังทรงรับราชกาลอยู่กรุงธนบุรี ฝาผนังด้านนอกทาสีดินแดง ด้านในเขียนภาพฝีมืออาจารย์นาค เป็นภาพแสดงวิถีชีวิตประจำวันของคนสมัยนั้น บานประตูตกแต่งด้วยการเขียนลายรดน้ำและแกะสลักอย่างงดงาม นอกจากนั้นยังมี ตู้พระไตรปิฎก ลายรดน้ำขนาดใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ในห้องด้านเหนือและห้องด้านใต้




          ไหว้พระทำบุญเสร็จ ก็เดินออกจากอุโบสถทางประตูด้านข้าง ซึ่งจะมีซอยให้เดินออกไปที่ถนนใหญ่(ถนนอรุณอัมรินทร์)ตรงหน้าวัด ด้านขวามือจะเป็นโรงเรียนโฆสิตสโมสร เดินไปอีกหน่อยก็จะผ่านตึกอาคารพรหมรังสี (จอดรถยนต์ฟรี 1 ช.ม. ต่อไป 20 บาท)




          พอเดินออกมาถึงปากทางเข้าวัด ให้เดินเลี้ยวขวามาอีกนิดเดียวก็จะเห็นป้ายหยุดรถเมล์ ซึ่งก็ใช้เวลารอไม่นานนัก รถเมล์ร่วมสาย 57(สายเดิม)ก็มาจอดรับ ระยะทางจากหน้าวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารไปยังวัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) ไม่ไกลกันมากนัก นั่งรถเมล์แค่แป๊บเดียว ก็ต้องรีบกดกริ่งขอลงแล้ว



          ลงรถเมล์ที่ป้ายหยุดรถเมล์ หน้าทางเข้าวัดอรุณราชวราราม สำหรับใครไม่เคยนั่งรถเมล์ร่วมสาย 57 มาวัดอรุณฯ ตอนนั่งรถเมล์มาก็ให้สังเกตด้านซ้ายมือเอาไว้ พอรถวิ่งผ่านทางเข้าหอประชุมกองทัพเรือ(ประตูทางเข้าสีขาวๆ) จะมีทางแยก(ซ้ายมือ) และป้ายบอกทางเข้าวัดอรุณฯ เลยไปอีกนิด ผ่าน 1 ป้ายรถเมล์ไป หลังจากนั้นรถเมล์ก็จะวิ่งข้ามคลองน้ำขนาดเล็กๆ ชื่อ " คลองนครบาล " จะเห็นป้ายหยุดรถเมล์(ป้ายที่ 2) กดกริ่งขอลงได้เลย ลงรถเมล์แล้วก็เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยไป จะมองเห็นกำแพงวัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง)ตั้งแต่ปากซอบได้เลย

          พอเดินเข้าไปก็จะมองเห็น การซ่อมแซมพระปรางของวัดอรุณฯ เท่าที่สอบถาม ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกเกือบ 2 ปี(ข้อมูลนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2558) จึงจะซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย แต่เท่าที่เห็นจะมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ก็ยังวนเวียนเข้ามาเยี่ยมชมอยู่ไม่ขาดสาย แต่อาจมีจำนวนลดลงบ้างพอสมควร




          ถ่ายภาพชาวต่างชาติกลุ่มนี้ ที่มาขอให้พระคุณเจ้าท่านสวดอวยพรและรดน้ำมนต์ให้ แถมมีของดีอีกด้วย แม้อาจจะไม่ได้คิดศรัทธากันจริงๆ แต่ทำตามคำแนะนำของไกด์ก็ตามทีเถอะ ในสายตาคนไทยที่มองเห็น มันล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดีๆทั้งนั้น สาธุๆ..แบ่งปันบุญกันไปนะ เพือนชาวต่างชาติ ประเทศไทยเราไม่หวงบุญ


          เดินอ้อมมาถ่ายภาพพระปรางอีกด้านหนึ่ง เป็นส่วนที่ซ่อมแซมเสร็จแล้ว มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านหลังพระปรางค์ เมฆดำเริ่มตั้งเค้ามืดทะมึนเข้ามาแล้ว อากาศร้อนจัดและแดดเปรี้ยงแบบนี้ ทำนายได้เลยว่า บ่ายๆจนถึงค่ำนี้รับรองฝนใหญ่ตกแน่ๆ คงต้องรีบข้ามเรือ - ต่อรถเมล์กลับที่พักดีกว่า (ข้อมูลนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2558) 




          รีบเดินมาขึ้นเรือข้ามฟากที่อยู่บริเวณข้างๆวัดฯ สักครู่เดียวก็ได้เวลาออก เรือวิ่งฝ่ากระแสลมที่เริ่มแรงขึ้น เมฆก็เริ่มม้วนตัวดำตามขึ้นเป็นลำดับ ส่วนคิวปล่อยรถเมล์สาย 12 เพื่อกลับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็อยู่เลยวัดเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์)ไปนิดเดียวเอง หากฝนยังไม่ตกก็ยังอาจเข้าไปแวะเก็บภาพที่วัดโพธิ์ได้อีกสักหลายภาพ



          เมื่อเรือเข้าเทียบท่าเรือ " ท่าเตียน " เดินขึ้นจากเรือข้ามฟากเป็นคนแรก ก้าวยาวๆเดินตรงไปที่วัดเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) ผ่านแยกท่าเตียน เดินผ่านประตูด้านหลังวัดเข้าไปอย่างรวดเร็ว




          เดินเลียบซ้ายเข้าไปที่ช่องทางเดิน " สำหรับคนไทย(เข้าฟรี) " เลยไปอีกหน่อยด้านขวามือ จะมีรูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ขนาดย่อส่วน ส่วนขนาดใหญ่จะอยู่ตรงประตูทางออกด้านซ้ายมือโน่น



          สำหรับ " วัดเชตุพนวิมลมังคลาราม " นี้ เท่าที่ทราบ มีรายได้จากค่าผ่านประตู เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ วันละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท หลังจากประธานาธิบดีของสหรัฐ ฯพณฯท่าน “ บารัค โอบามา “ มาเยี่ยมชมวัดนี้ไปแล้ว ยิ่งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและชาวยุโรป มาเที่ยววัดนี้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

          เมฆยิ่งดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เวลาฝนห่าใหญ่กำลังจะมาแล้ว ขอฝาก 3 ภาพสุดท้ายนี้ก็แล้วกัน ตัดสินใจเดินออกประตูวัดทางด้านข้าง(ขวามือ) จะมีซอยเล็กออกไปสู่ถนนใหญ่หน้าวัด เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วเดินไปทางขวามือ ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระพิพิธ ไปขึ้นรถเมล์ที่ท่ารถเมล์สาย 12 แล้ว (อยู่ตรงข้ามสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร) เดินทางกลับถึงที่พักอย่างปลอดภัย




          ขอจบ Trip " เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 1และ 2 " ไว้เพียงแค่นี้ สำหรับตอนต่อไป จะมีให้อ่านกันอีกเร็วๆนี้ ขอบคุณที่ติดตามบทความกันนะ

(ต่อ)....ตอนที่ 3 ไปอ่านสนุกๆกันต่อ :

http://gratisod.blogspot.com/2017/09/travel-bangkok-360-3.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Travel Bangkok 360 องศา : เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 3

Travel Bangkok 360 degree : the route back in time Traditional community (Thonburi) Chapter 3           บทความการเดินเที่ยวย้อนยุค...