วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Travel Bangkok 360 องศา : เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 1

----------------------------------------------------
Travel Bangkok 360 degree : the route
 back in time Traditional community (Thonburi) : Chapter 1
----------------------------------------------------

          ก่อนหน้านี้ ได้เคยนำเรื่องราวที่ไปเดินเที่ยวย้อนอดีตกรุงเทพฯ ตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรีลงในเว็บ Pantip มาแล้ว มีคนเข้ามาติดตามอ่านกันเป็นจำนวนมาก ครั้งนี้เลยขอนำเรื่องราวดังกล่าว มาเรียบเรียงใหม่ ให้ได้อ่านและติดตามกันอีกครั้ง เผื่อมีใครอยากเดินตามรอยอดีตแบบนี้กันบ้าง ด้วย Blog แห่งนี้ มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเข้ามาอ่านกันเป็นประจำ(อาจมีศัพท์ภาษาอังกฤษแทรกปนๆเข้าไปด้วย...ผิดถูกไม่ว่ากันนะ ถือเป็นสีสันประกอบการเล่าเรื่องละกัน) จึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในวงที่กว้างกว่าเดิม  สำหรับตอนแรกนี้ คนเล่าเรื่องพร้อมแล้ว ขอนำทุกท่านไปติดตามอ่านกันได้เลย...Let’s go


          ด้วยเหตุเพราะมุข “ จบจากโรงเรียนวัดลิงขบ “ ที่เคยได้ยินเพื่อนๆพูดอำขำๆกันเล่นตั้งแต่วัยประถม ไม่รู้มาก่อนว่าวัดนี้มีอยู่จริงๆ อยากรู้ว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนในประเทศนี้ จึงพิมพ์ถามในช่องค้นหาของ Google Map ชื่อวัดลิงขบก็โผล่ขึ้นมา ในที่สุดก็รู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ แถมอยู่ตรงกันข้ามกับย่านเทเวศร์นี่เอง แต่เมื่อนั่งค้นคว้าเรื่องราวไปเรื่อยๆ จากแค่วัดลิงขบเรื่องเดียว ก็กลายเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับชุมชนเก่าแก่อีกหลายแห่งในอดีต ที่อาศัยอยู่ตลอดสองฟากฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยิ่งค้นคว้ายิ่งรู้สึกสนุกและน่าสนใจมาก จึงต้องการที่จะไปสัมผัสกับสถานที่จริงๆดูสักครั้ง " เรื่องราวของประวัติศาสตร์ในอดีต มักมีมนต์เสน่ห์เสมอ " เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้ รีบตรวจสอบเส้นทางและหาข้อมูลพิกัดของสถานที่หลักๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อทุกอย่างพร้อมเสร็จ ก็ไปเดินเที่ยวกันได้ทันที
----------------------------------------------------
          เริ่มต้นการเดินทางที่ป้ายรถเมล์ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ(Victory Monument) ฝั่งเกาะพญาไท หรือ บางคนก็เรียกกันว่า " ฝั่งเซ็นเตอร์วัน " เพราะมีห้างเซ็นเตอร์วันตั้งอยู่ แต่ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าหน่อย ก็อาจจะเรียกว่า " ฝั่งหนังสือดอกหญ้า " เพราะตรงหัวมุมเดิมจะมีร้านหนังสือดอกหญ้าตั้งอยู่ ปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว



          มาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ประมาณ 07 .00 น. แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้สายอะไรมากนัก ยืนรอรถเมล์อยู่ไม่นาน รถเมล์ ปอ. สาย 503 ก็วิ่งเข้ามาจอดที่ป้ายหยุดรถฯ รีบเดินขึ้นรถเมล์และเลือกที่นั่งตอนหน้าด้านหน้าซ้ายมือของคนขับ ค่ารถเมล์ ปอ. สาย 503 ไปลงวัดเบญจมบพิตรฯ ราคา 11 บาท ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกใน Trip นี้ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากไหว้พระเพื่อให้เป็นสิริมงคลและการเอาฤกษ์เอาชัยเสียก่อนเดินทาง ตามวิถีพุทธแบบไทยๆเท่านั้นเอง(ความเชื่อส่วนตัวล้วนๆ)


          รถเมล์วิ่งผ่านหน้าห้างเซ็นจูรี่ ไปเลี้ยวขวาที่แยกพญาไท ผ่านโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย เนื่องจากวันนี้เป็นหยุดราชการ ช่วงเช้าๆถนนค่อนข้างว่าง รถเมล์ฯวิ่งอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็วิ่งมาถึงวัดเบญจมบพิตร(Wat Benchamabophit) มาทันเห็นการใส่บาตรที่ตรงบริเวณหน้าวัดพอดี ที่จริงตั้งใจจะมาถึงก่อนใส่บาตร เพื่อจะได้เก็บภาพที่ตรงช่องประตูมองเห็นโบสถ์ด้านใน แต่เพราะมาคนเดียว เลยตื่นสายไปนิดหน่อย

          สำหรับวัดเบญจมบพิตร มีชื่อเต็มว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร " แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะรู้จักและเรียกวัดนี้ว่า The Marble Temple " เพราะมีพระอุโบสถ พระระเบียง ประดับด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี ประกอบกับเป็นวัดที่มีความวิจิตรงดงามมาก


          เดินผ่านประตูเข้าไปในวัดเบญจมบพิตรฯ เพื่อไหว้องค์พระพุทธชินราช(จำลอง) เป็นวิถีของคนไทยทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่า หากจะเดินทางไปไหนมาไหน? ก็ควรไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์ จะได้ปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย ไร้ภัยอันตรายใดๆ ช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ สบายใจยิ่งขึ้น
          
          สำหรับองค์พระพุทธชินราช องค์จริงนั้น อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลกโน่น ใครมีโอกาสผ่านขึ้นไปที่จังหวัดพิษณุโลก อย่าลืมแวะไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตด้วยล่ะ 



          เดินไปออกทางประตูอีกด้านของวัด(ด้านข้างฝั่งถนนศรีอยุธยา) ทะลุออกมาตรงป้ายรถเมล์พอดี โชคดีเหลือเกิน รถเมล์ฟรี สาย 72 ก็วิ่งเข้ามาจอดส่งผู้โดยสารที่ป้ายหยุดรถเมล์พอดี ไม่ต้องคิดมาก ก้าวเท้าขึ้นรถเมล์เพื่อไปลงที่ตลาดเทเวศร์ทันที (รถเมล์สายนี้สุดสายที่ตลาดเทเวศร์) บนรถเมล์ มีผู้โดยสารเหลือแค่ 2คนเท่านั้น อยากจะนั่งตรงไหน เลือกเอาที่สบายใจได้เลย เหมือนได้นั่งรถเมล์ส่วนตัว ไม่ต้องไปยืนเบียดเสียดแออัดยัดเยียดกับใครทั้งนั้น


          รถเมล์วิ่งมาสุดสายที่ตลาดเทเวศร์ ลงรถเมล์แล้วเดินข้ามถนนไปยังฝั่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร แล้วเดินเลียบบาทวิถี ผ่านตลาดสดเทวราช ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมที่สะพานเทเวศรนฤมิตร (แยกเทเวศร์) เดินเลี้ยวขวาตรงไปยังท่าเรือเทเวศร์ ที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างทางเดินไป ด้านขวามือจะเป็นแหล่งจำหน่ายพันธุ์ไม้สวยงาม ยาวไปตามแนวลำคลอง ส่วนท้ายๆก่อนถึงท่าเรือ ก็จะมีการจำหน่ายปลาปล่อย(ทำบุญ) ไว้บริการให้คนใจบุญนำไปปล่อยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใครสนใจแวะกันไปอุดหนุนกันได้

           สำหรับท่าเรือข้ามฟากไปวัดบวรมงคลราชวรวิหาร (วัดลิงขบ) " จะมีทางเดินแยกออกมาทางด้านขวามือของท่าเรือหลัก ส่วนท่าเรือข้ามฟากไป " วัดคฤหบดี " จะแยกออกไปทางด้านซ้ายมือของท่าเรือหลักเช่นกัน


          พอเดินเข้าไปถึงท่าข้ามเรือปุ๊บ เรือที่ข้ามมาจากวัดบวรมงคลราชวรวิหาร (ฝั่งธนบุรี) ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าเพื่อส่งผู้โดยสาร มองซ้ายมองขวา เห็นมีแต่เราคนเดียวที่จะข้ามฟากไป ก้าวเดินลงลำเรือเข้าไปนั่งภายในตัวเรือ คิดว่าคงอีกสักพักถึงจะได้เวลาออก เพราะน่าจะต้องรอผู้โดยสารคนอื่นอีก แต่คิดผิดถนัด ดูเหมือนคุณลุงคนขับเรือจะไม่สนใจรอใคร ติดเครื่องยนต์หันหัวเรือพาข้ามฟากกลับไปเลยทันที คงเป็นเพราะช่วงเช้าๆ มีผู้โดยสารมารอฝั่งโน้นค่อนข้างเยอะ จึงต้องรีบกลับเรือข้ามไปรับผู้โดยสารทันที แต่หากเป็นช่วงสายๆหน่อย ก็คงจอดเรือรอนานเอาเรื่องอยูู่นะ เพราะคนที่จะข้ามกลับไปคงมีไม่มากนัก


          เรือข้ามฟากเป็นเรือขนาดไม่ใหญ่มากนัก ความกว้างของลำเรือเทียบได้กับความกว้างของเรือหางยาวขนาดเล็ก 2 ลำเรียงกัน ลักษณะภายในลำเรือ จะทำด้วยไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ พื้นเรือปูด้วยไม้กระดานเป็นแผ่นๆเรียงไปตามพิ้นของลำเรือ ที่นั่งทั้ง 2 ด้านก็เป็นไม้เช่นกัน 

          สำหรับอุปกรณ์สำหรับช่วยชีวิต กรณีเกิดอุบัติเหตุเรือจมหรือเรือล่ม ภายในเรือก็จะมีเสื้อชูชีพเตรียมไว้ให้ด้วยพร้อมเสร็จและถูกเก็บซุกไว้ด้านล่างของทีนั่งไม้นั่นแหละ (ปกติโดยทั่วไป จะเห็นเสียบเก็บไว้ด้านบนของช่องใต้หลังคาเรือ) หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ก็น่าจะปลอดภัยนะ


          พอเรือค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือฯได้สักระยะหนึ่ง ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพจากทางด้านหัวเรือไปเป็นระยะๆ สักพักก็สามารถมองเห็นท่าเรือวัดบวรมงคลราชวรวิหาร(ฝั่งธนบุรี)ได้ในระยะไม่ไกลมากนัก แล้วค่อยหันหน้ากลับมาคุยกับลุงคนขับเรือ สร้างความคุ้นเคยกันไป



          นั่งกันไป 2 คนกับลุงคนขับเรือ ถือโอกาสสอบถามเส้นทางเดินเท้า และประวัติเกี่ยวกับวัดบวรมงคลราชวรวิหารไปด้วย คุยกันเพลินๆ ไม่นานก็มาถึงยังฝั่งท่าเรือข้ามฟากวัดบวรมงคลราชวรวิหาร หรือที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกันติดปากว่า " วัดลิงขบ " นั่นเอง



          พอเรือเทียบท่า ถามลุงคนขับเรือ ว่าค่าเรือข้ามฟากเท่าไหร่? ลุงตอบมาว่า 3 บาท แต่ให้ไปจ่ายข้างบนตรงทางออกได้เลย(จ่ายทั้งขาไปและขามาที่เดียวเท่านั้น)

          เมื่อเดินจากเรือขึ้นไป สังเกตเห็นตรงทางเดินเข้าไปที่จ่ายเงิน จะมีป้ายตัวหนังสือสีแดง บอกค่าโดยสารไว้อย่างชัดเจน มียกเว้นให้บริการฟรี “ สำหรับพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และคนพิการ ” ด้วย ชัดเจนดีมาก ตัวหนังสือขนาดพอดี มองดูจากตรงลำเรือก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน



          เดินเข้าไปตรงที่จ่ายเงิน จะมีห้องเล็กๆอยู่ด้านขวามือ ทำเป็นเคาน์เตอร์เก็บเงิน ด้านบนเขียนบอกซ้ำไว้ให้อ่านอีกครั้งว่า “ ค่าโดยสาร คนละ 3 บาท “ ภายในเคาน์เตอร์ไม่มีพนักงานประจำอยู่ มองเห็นคนล้างทำความสะอาดทางเดินอยู่ไกลๆ เลยตะโกนบอกไปว่า “ วางเงินค่าเรือไว้ที่เคาน์เตอร์เลยนะ “ ได้ยินร้องตอบกลับมาว่า “ จ้าๆๆ วางไว้เลยคร๊า “



          เดินทะลุผ่านช่องที่เก็บเงินมาได้ไม่ไกลนัก ก็จะมองเห็นสถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล(ชื่อเดียวกับวัดเลย) ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายมือของถนนซอยจรัลสนิทวงศ์ 46(แยก19)  ที่ทอดตัวออกไปยังด้านหน้าของวัดบวรมงคลราชวรวิหาร


          เดินเลยไปอีกหน่อย ก็จะถึงวัดบวรมงคล ชื่อเต็มของวัดคือ " วัดบวรมงคลราชวรวิหาร (Wat Bowonmongkhon Ratchaworariharn) " เลี้ยวขวาผ่านทางเข้าวัดไปเลย ในที่สุดก็ข้ามเรือมาถึงจนได้ ด้านในของบริเวณภายในวัด จะมีรูปปั้นสิงโตมอบอยู่ด้านบนแท่นเสาสูง มีหอระฆังแบบรามัน และตำหนักพระจอม หรือ แต่เดิมเรียก " เก๋งพระจอม " (อนุสรณ์สถานรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เคยเสด็จมาประทับ

ข้อมูลน่ารู้ : วัดบวรมงคลราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดราชวรวิหาร เดิมชื่อวัดลิงขบ เนื่องจากสมัยก่อน บริเวณรอบวัดเป็นป่า มีฝูงลิงอาศัยอยู่จำนวนมากและบางตัวมีนิสัยเกเรดุร้าย มักขบกัดชาวบ้านอยู่เสมอๆ จึงถูกเรียกกันว่า “ วัดลิงขบ “ บ้างก็ว่ามีชาวมอญชื่อว่า “ ลุงขบ ” เป็นคนสร้างวัด ชื่อ “ วัดลุงขบ “ นานไปอาจออกเสียงเพี้ยนกลายมาเป็น “ ลิงขบ “ ต่อมา กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาเสนานุรักษ์ ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “ วัดบวรมงคลราชวรวิหาร “ ชุมชนแถวนี้ ส่วนใหญ่ดั้งเดิมจะเป็นชาวมอญ อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และมาตั้งรกรากตั้งแต่รัชกาลที่ 2

          ที่มีความสำคัญอีกอย่าง คือ เป็นวัดพระอาจารย์ของรัชกาลที่ 4 คือ " พระสุเมธมุนี " ซึ่งเป็นชาวรามัญ เป็นผู้รู้ข้อวัตรปฏิบัติแตกฉานในพระไตรปิฎก และยังเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก ทางด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม ใครสนใจเชิญมาศึกษาธรรมะกันได้



          ตรงบริเวณสวนหย่อมที่ติดกับวัด จะมีเจดีย์หมู่ 9 องค์ เรียกว่า “ เจดีย์หงษา “ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแบบมอญ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เก่าแก่น่าดู

          
          เดินเลียบไปตามกำแพงอุโบสถ เพื่อเข้าไปไหว้พระด้านในอาณาเขตของอุโบสถ ประตูทางเข้าไปด้านใน จะถูกปิดเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันสุนัขเข้าไปนอน เราสามารถผลักเข้าไปได้เลย อ้อ! เปิดเข้าไปแล้ว อย่าลืมปิดเอาไว้ด้วย เวลาจะออกมา ค่อยเปิดออกมาภายหลัง ไม่เช่นนั้นอาจมีสุนัขแอบเข้าไปหลบร้อนด้านในด้วย...ทีนี้ก็เรื่องใหญ่แล้วล่ะ



          พระประธานในโบสถ์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น “ ปางมารวิชัย “ ที่งดงามมาก ด้านข้างจะมีพระอัครสาวก อยู่ 2 องค์ (ไม่ทราบนามพระประธาน) ส่วนตัวชอบมากเป็นพิเศษ นานๆจะเห็นพระพุทธรูปที่งดงามถูกใจสักที ใครทราบว่าชาวบ้านเรียกองค์ท่านว่าอะไร? ช่วยบอกด้วย(อยากรู้)


          ออกจากอุโบสถ เดินทะลุออกมาตรงเมรุเผาศพ จะมองเห็น " โรงเรียนทิวไผ่งาม " ตั้งอยู่ติดกับเขตวัดฯเลย ได้เคยอ่านข่าวกีฬาตามหน้าหนังสือพิมพ์มานานแล้วว่า โรงเรียนทิวไผ่งามแห่งนี้เก่งและโด่งดังเรื่องกีฬาบาสเกตบอลมาก ได้แชมป์มาก็มากมาย...แหมมาตั้งหลบอยู่ที่นี่เอง


           เดินออกประตูวัดมาที่ถนนใหญ่ คือ " ซอยจรัลสนิทวงศ์ 46(แยก19) " จะเจอคิวรถสองแถว(สีแดงเลือดหมู) สาย14 จรัลสนิทวงศ์ – ซอยพระยาวรพงษ์ วิ่งระหว่างวัดบวรมงคล – ไปออกถนนจรัลสนิทวงศ์ ใครอยากจะเปลี่ยนเส้นทางไปโผล่ที่ตลาดพงษ์ทรัพย์...ก็ใช้บริการได้เลย


          เดินย้อนกลับมาตรงประตูใหญ่ของวัด ด้านตรงข้ามจะมีซอยเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเท้าที่ชาวบ้านแถวนี้บอกกับผมว่า สามารถเดินทะลุไปได้เรื่อยๆ จากชุมชนหนึ่งไปสู่อีกชุมชนหนึ่งได้อย่างสะดวกและไม่ไกลกันมากนัก เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านเขาใช้เดินทางไปมาหาสู่กันเป็นประจำมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถือเป็นเส้นทางเก่าแก่ในอดีตที่ชาวบ้านแถบนี้ใช้ไปมาหาสู่กันเสมอๆ สามารถเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปได้แบบชิวๆเลยทีเดียว ปัจจุบันจากทางเดินธรรมดาเล็กๆกลายเป็นถนนคอนกรีตไปหมดแล้ว ใช้สัญจรไปมาได้สะดวกยิ่งขึ้นกว่าเดิม จะเดินเท้า-ปั่นจักรยาน หรือแม้แต่ขับรถมอเตอร์ไซด์ ก็ได้ตามที่ต้องการ

ข้อมูลน่ารู้ : คุยกับแม่ค้าที่นั่งขายกล้วยแขกอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าวัด เห็นบอกว่า ถ้าเดินมาจากสะพานกรุงธนบุรี(สะพานซังฮี๊) ก็สามารถเดินทะลุมาที่ถึงที่วัดลิงขบ และเดินไปจนทะลุสะพานพระราม 8 และสะพานปิ่นเกล้าได้เลยนะ

          ด้วยความคิดที่ว่า “ เส้นทางอยู่ที่ปาก “ หากต้องการทราบเส้นทางเดินลัดเลาะของชุมชนเก่าแก่แถบนี้ที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก ซึ่งแม้แต่ Google ก็ยังส่ายหน้าบอกไม่รู้วุ๊ย สิ่งสำคัญก็คือ การใช้รอยยิ้มที่เป็นมิตร และการอุดหนุนสินค้า ขนมหรือแม้แต่อาหารที่อยู่ในท้องถิ่น แล้วค่อยการสอบถามเส้นทางเดินประจำของชาวบ้านในชุมชน อยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็ถามได้เต็มที่ ร้อยทั้งร้อยได้รับการบอกและอธิบายแบบละเอียดยิบเลยทีเดียว

          บริเวณตรงข้ามประตูใหญ่ของวัด จะมีร้านขายของชำแบบดั้งเดิม(หาดูได้ยากแล้ว) มีของขายเกือบทุกอย่างที่ชาวบ้านในขุมชนแถวนี้ต้องการ หน้าร้านจะมีก๋วยจั๊บขาย มีโต๊ะพร้อมเก้าอี้ ให้นั่งกินกันอย่างสบายใจ พอเดินผ่านก็ได้กลิ่นหอมฉุยแตะจมูกมาเลย ท้องร้องจ๊อกๆขึ้นมาทันที สั่งมาเป็นทดสอบความอร่อย 1 ชาม รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเดินไปอีกไกล ต้องซื้อติดมือไปด้วยสักถุงสองถุงแน่ๆเลย ได้โอกาสสอบถามเส้นทางไปด้วยพร้อมเสร็จ เมื่อชัดเจนในเส้นทางที่จะไป ก็ได้เวลาขาเดินไปกันต่อได้แล้ว


          เส้นทางที่เดินไปก็เป็นเส้นทางเล็กๆที่อยู่ด้านข้างร้านขายของชำ ที่เพิ่งกินก๋วยจั๊บอิ่มอร่อยมาแล้วนั่นเอง มองตรงไปข้างหน้า ก็เห็นป้าย " โรงเรียนศิริมงคลศึกษา " อยู่ไม่ไกลนัก สำหรับโรงเรียนศิริมงคลศึกษา เป็นโรงเรียนเอกชนที่จะรับเด็กเนอสเซอรี่ - อนุบาล จนถึงประถม 6



          พอเดินมาจนถึงทางสามแยกให้เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือ แล้วเดินตรงไปอีกนิดก็ให้เลี้ยวขวามือ ทีนี้ก็เดินตรงยาวๆไปจนทะลุถนน “ ซอยจรัลสนิทวงศ์ 44 “ ได้เลย

          สำหรับถนนซอยจรัลสนิทวงศ์ 44 บริเวณตรงสี่แยก จะมีป้ายสีเขียวอ่อนอยู่ตรงมุมทางแยก(ด้านซ้ายมือ) และถ้ามองเฉียงไปทางด้านขวามือ จะมองเห็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนซ้ายมือถ้าเดินเข้าไปอีกหน่อย ก็จะเป็นสถานีดับเพลิงบวรมงคล ซึ่งตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลย ให้เราเดินข้ามทางแยก แล้วเดินตรงไปตามเส้นทางเดินคอนกรีตเล็กๆ คล้ายๆกับขามา




          เดินตรงไปเรื่อยๆ ก่อนถึงทางสามแยก จะมีสะพานข้ามคลองเล็กๆ ให้เดินข้ามแล้วเดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือ จะมองเห็นประตูบ้านสีเหลืองๆอยู่ขวามือ แสดงว่ามาถูกทางแล้ว



          เดินไปอีกไม่ไกลนัก จะมองเห็นทางเลี้ยวขวามือ ตรงแยกตึกสีม่วงอ่อน 4 ชั้น ให้เดินเลี้ยวไปทางขวามืออีกที คราวนี้ก็ง่ายแล้ว ทางเดินตรงอย่างเดียว ไม่สับสนแล้วล่ะ



          จากตรงนี้ ใช้สายตาไปที่ปากซอยเบื้องหน้า จะเริ่มมองเห็นบริเวณวัดคฤหบดีอยู่ไม่ไกล พอโผล่ออกมาที่ปากซอย ก็จะมีป้ายสีแดง เขียนว่า “ ชุมชนวัดคฤหบดี “ แสดงว่าเรามาถึง วัดคฤหบดี และชุมชนวัดคฤหบดี กันแล้ว

          วัดคฤหบดี  อยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์  44 (ซอยศรีประชา) หากนั่งมอเตอร์ไซค์ย้อนออกไปโผล่ที่ถนนจรัลสนิทวงศ์ ปากซอยจะอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของอดีต “ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปะอาชา “ พอดี (ปัจจุบันท่านถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2559  หลังจากสร้างคุณูปการให้กับจังหวัดสุพรรณบุรีและประเทศไทยของเราในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 21อย่างมากมาย)

ข้อมูลน่ารู้ : วัดคฤหบดี เป็นวัดที่พระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่)ต้นสกุล “ ภมรมนตรี  เป็นผู้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้โปรดพระราชทานนามวัด และพระราชทานพระแซกคำ ไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย

          แต่เดิมนั้นพระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่) มีบ้านอยู่ริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือบ้านปูน ตำบลบางพลัด(แขวงบางยี่ขันปัจจุบัน) ได้ถวายตัวเข้ารับราชการตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังทรงกรมเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

          ในสมัยรัชกาลที่ 2 (บ้านเดิมคือ บริเวณวัดคฤหบดีทุกวันนี้) ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้โปรดตั้งนายภู่จางวางเป็นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นว่าการพระคลังมหาสมบัติ

          ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานบ้านที่พระศรีสุนทรโวหาร(สุนทรภู่) อาศัยอยู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของท่าพระ (ท่าช้างวังหลัง)ให้พระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่)ได้อยู่อาศัยใหม่ พระยาราชมนตรีฯจึงได้ยกบ้านเดิมของท่านให้สร้างเป็นวัด และนำความน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระองค์ได้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง พร้อมกับพระราชทานนามว่า “ วัดคฤหบดี  และได้พระราชทานพระแซกคำไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย

          ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดคฤหบดีครั้งใหญ่ ทำให้อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีสภาพถาวรมั่นคงเป็นที่พอพระราชหฤทัย และได้ทรงพระราชทานตราประจำรัชกาลพระองค์ท่านประดิษฐานไว้จนกระทั่งบัดนี้




          เจดีย์เหลี่ยมย่อมุม 32 (ทรงระฆังกลม) ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัด แปลกตากว่าที่อื่น  เป็นสไตล์เจดีย์ยุคปลายสมัยรัชกาลที่ 3 หาชมได้ยากมาก งดงามมากเช่นกัน


          รูปปั้นองค์ " สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) " จะอยู่ด้านหน้าองค์เจดีย์เหลี่ยม 32 (ทรงระฆังกลม) ใช้บทสวดพระคาถาชินบัญชร (สวดนะโม 3 จบ ระลึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งจิตอธิษฐาน แล้วค่อยสวดพระคาถา) ผู้ใดสวดภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความมีสิริมงคลแก่ตนเอง ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ



          ทางเดินลงสู่ท่าน้ำวัดคฤหบดี เราสามารถข้ามเรือไปเทเวศร์ได้เหมือนท่าข้ามเรือวัดบวรมงคลราชวรวิหาร(วัดลิงขบ) หากใช้สายตามองดูจากริมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาที่วัด จะรู้สึกได้ว่าเป็นวัดที่แปลกกว่าวัดอื่น ตรงที่วัดนี้มีการวางแผนผังสวยงามมาก โดยมีการปูกระเบื้องเป็นลานกว้างๆยาวไปถึงรูปปั้นองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ส่วนด้านหลังหลวงพ่อโต ก็จะเป็นเจดีย์ย่อมุม 32(ทรงระฆัง) ตามด้วยองค์จำลองหลวงพ่อแซกคำ ก่อนจะเข้าสู่บริเวณพื้นที่ชั้นในของวัดคฤหบดี 


          ไหว้องค์จำลองพระพุทธรูปทองคำ “ หลวงพ่อแซกคำ “ ซึ่งจะอยู่ด้านหลังองค์เจดีย์ ก่อนถึงเขตพระอุโบสถด้านใน สามารถเข้ามากราบไหว้ได้ทุกวัน ส่วนองค์จริงของหลวงพ่อแซกคำจะอยู่ในโบสถ์ใหญ่


          เดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปทองคำ(องค์จริง) “ หลวงพ่อแซกคำ “ ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมได้เฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ดังนั้น ควรวางแผนมาให้ดีด้วย ไม่เช่นนั้น อาจต้องมาเสียเที่ยวเปล่าๆ เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน


          พระพุทธรูปทองคำ(องค์จริง) “ หลวงพ่อแซกคำ “ เป็นพระพุทธรูปทองคำโบราณ ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้เป็นพระประธานในพระอุโบสถตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2369

          เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 3 องค์ ได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธแซกคำ และพระบาง(อยู่ สปป.ลาว) ใครมาถึงที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด..ขอบอก

ข้อมูลน่ารู้ :  พระพุทธแซกคำ  เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองคำโบราณ  ปางมารวิชัย
สมัยเชียงแสน  ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 องค์ เป็นพระพุทธรูปคู่เมืองแห่งราชอาณาจักรล้านนา (นครเชียงใหม่) ซึ่งมีพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเป็นพระมหากษัตริย์

          ต่อมา  พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมีความจำเป็นต้องเสด็จไปครองราชสมบัติในอาณาจักรล้านช้างพระนครศรีสัตนาคนหุต (หลวงพระบาง)และได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญที่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย  3 องค์  คือ พระแก้วมรกต  พระพุทธแซกคำ  และพระบาง

          ในปี พ.ศ. 2100  พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชย้ายราชธานีจากหลวงพระบาง  ไปตั้งที่นครเวียงจันทน์  และทรงอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ไปด้วย  พระพุทธแซกคำ  จึงได้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ สืบมาหลายรัชกาลนานถึง  269 ปี

          ในปี พ.ศ. 2369  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) ทรงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา  เป็นแม่ทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์  ได้จับกุมเจ้าอนุวงศ์  กษัตริย์เวียงจันทน์มากรุงเทพฯ  พร้อมอัญเชิญพระพุทธแซกคำ นำมาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธแซกคำแก่  พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่)  ซึ่งเป็นต้นตระกูลภมรมนตรีและตระกูลชุมสาย  ผู้สร้างวัดคฤหบดี  ให้มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ พระอารามหลวง วัดคฤหบดี  เป็นศรีสง่าแห่งพระอาราม  นับแต่ปี พ.ศ. 2369  กระทั่งถึงทุกวันนี้



          พระบรมธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่บริเวณมุมวัดด้านซ้ายมือ(มองจากริมแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าไปที่วัด) พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ " ในพระบรมธาตุเจดีย์ วัดคฤหบดี เมื่อปี พ.ศ. 2554

          ได้แวะเข้าไปกราบไหว้และอาศัยหลบแดดร้อนภายในตัวพระบรมธาตุ ก่อนอาศัยช่องทางเดินตรงมุมวัด(อยู่ใกล้ๆกับพระบรมธาตุ) เดินไปชุมชนบ้านปูน เป็นเป้าหมายถัดไป

ข้อมูลน่ารู้ : ภายในพระบรมธาตุเจดีย์ มีห้องที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2441 (ค.ศ.1898) ชาวอังกฤษได้ค้นพบโดยบังเอิญในผอบ ที่บริเวณอันเคยเป็นที่ตั้งของเมืองกบิลพัสดุ์ บนผอบดังกล่าวมีจารึกเป็นตัวอักษรพราหมี ระบุว่า " เป็นพระบรมสารีริกธาตุในส่วนแบ่งของพระราชวงศ์ศากยะ ถือว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพบแห่งเดียวในโลก ที่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่ชัด "
  
           ต่อมา ได้มีพระสงฆ์ชาวไทยรูปหนึ่ง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่ศรีลังกา พระนาม " พระชินวรวงศ์  (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์) " เสด็จธุดงค์ไปในที่เกิดเหตุในขณะนั้น จึงได้ทรงติดต่ออุปราชอินเดีย ขอให้ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง(รัชกาลที่ 5) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษก็ได้ดำเนินการตามนั้น พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นกระดูกที่เผาไม่หมดของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานบนพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ที่กรุงเทพฯ แต่มีบางส่วนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้พระราชทานให้ประเทศศรีลังกา ไปประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิรักษ์รามา

          เมื่อปี 2547 เจ้าอาวาสวัดโพธิรักษ์รามา ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่งให้ ม.ล.อนงค์ ชุมสาย นิลอุบล คือ องค์ที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา และได้บรรจุในพระบรมธาตุเจดีย์ วัดคฤหบดี ในพ.ศ.2554

          รูปแบบสถาปัตยกรรม พระบรมธาตุเจดีย์ วัดคฤหบดี มีที่มาจากเจดีย์ทิศวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ ซึ่งก็ดัดแปลงมาจากพระสถูปพระพุทธกายา แต่พระบรมธาตุเจดีย์มีรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่มีเครื่องประดับ ส่วนประตูเข้าองค์พระเจดีย์ได้เลียนแบบมาจากวัดศรีชุม จ.สุโขทัย ความเรียบง่ายนี้สะท้อนด้วยการทาสีขาวทั้งองค์พระเจดีย์ ยกเว้นยอดซึ่งทาสีทอง เป็นรูปจำลองของผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมด้วยคำจารึกโบราณที่กล่าวข้างต้น

เครดิต : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก (2 มิถุนายน 2554)



          ทางลัดที่สามารถเดินทะลุไปชุมชนบ้านปูน จะอยู่ตรงมุมเขตวัดฯ เลยที่ตั้งพระบรมธาตุเจดีย์ไปนิดเดียว สามารถมองเห็นสะพานพระราม 8 ได้อย่างชัดเจน เดินออกไปแล้วเลี้ยวขวา จะมีทางเดินเล็กๆเลียบไปกับกำแพงวัดและคลองเล็กๆ ก่อนถูกบังคับเลี้ยวซ้ายข้ามคลองไป



          เส้นทางเดินไปทะลุตรงบริเวณศาลปู่โพธิ์ ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายมือจะมีป้ายบอกทางไป " ชุมชนบ้านปูน " สังเกตเห็นรูปปั้นสิงห์สีทองตั้งอยู่ด้านบนเสา เดินไปอีกไม่ไกลก็จะทะลุถึงบริเวณศาลปู่โพธิ์ หากไม่แน่ใจก็ให้สอบถามชาวบ้านแถวนั้นได้เลย ที่จริงถ้าดูตามรูปภาพก็ไม่น่าสับสนหรอกนะ อย่าลืม " เส้นทางอยู่ที่ปากกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร " ช่วยไ้ด้เสมอ



          ศาลปู่โพธิ์ แวะไหว้เพื่อความเป็นศิริมงคลและบุญกุศล จุดธูป 3,5,7,9 ดอก ตามที่ต้องการได้เลย เพราะจำนวนเท่าไร มันอยู่ที่ใจ มนุษย์ตั้งกันขึ้นมาเอง ตามความพอใจ ซึ่งที่จริงแล้ว หากใจเป็นสมาธิ ศรัทธาจริง “ มือเปล่า ใจเปล่า ก็ศักดิ์สิทธิ์ “ ได้


          เดินต่อ ไปชมบ้านไม้เก่าแก่ในชุมชนบ้านปูน เดินโค้งไปตามเส้นทางเล็กๆ แล้วเลี้ยวขวาตรงกระถางที่ตั้งอยู่บนเสาของรั้วกำแพงซอย เดินตรงไปก็จะเจอ “ ศาลาโรงทาน “ มีบ้านไม้เก่าแก่อยู่ข้างๆ



          บ้านไม้โบราณ ไม่ทราบว่าสร้างมานานแล้วแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นสภาพ ก็คงเก่าแก่รุ่นราวคราวเดียวกับศาลาโรงธรรม ตรงทางเข้าประตูบ้าน จะมีถังน้ำยาดับเพลิงติดตรงด้านซ้ายมือของประตูบ้านด้วย เผื่อเวลาเกิดไฟไหม้เล็กน้อยขึ้นมา ก็สามารถช่วยดับไฟได้ทัน ไม่ให้ลุกลามไปใหญ่ได้ บ้านหลังนี้ ชาวชุมชนบ้านปูน ถือเป็นบ้านที่ต้องช่วยกันดูแลและอนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน เท่าที่ดูจากสายตา บ้านทั้งหลังเริ่มผุผังไปตามกาลเวลา ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน? เอาใจช่วยก็แล้วกัน


          เส้นทางที่จะไปศาลาโรงธรรม จะมีซอยแคบๆเล็กๆเป็นเส้นทางที่จะเดินเข้าไป จุดที่ยืนถ่ายรูปก็จะอยู่บริเวณหน้าบ้านไม้เก่าแก่นั่นเอง เมื่อมองตรงเข้าไปในซอยข้างหน้า ก็จะมองเห็นธงสีม่วง สีฟ้า สีเหลืองและธงชาติไทย นั่นแหละคือ ศาลาโรงธรรมที่เก่าแก่ของชุมชนบ้านปูน ข้างๆศาลาโรงธรรม ก็จะมีถังน้ำยาดับเพลิงติดอยู่เช่นกัน เตรียมการเอาไว้แบบนี้ นับว่าคิดรอบคอบดีมาก



          " ศาลาโรงธรรม หรือศาลากลางบ้าน " ที่ใช้ทำบุญและกิจกรรมต่างๆในชุมชนนั่นเอง ส่วนการให้ทาน ก็คงไปใช้สถานที่ที่ศาลาโรงทานที่อยู่เยื้องๆกันไป วันนี้ศาลาโรงธรรมไม่เปิดให้เข้าชม ได้ยินว่า เปิดเฉพาะช่วงวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น

          ด้านหน้าศาลาโรงธรรม มีติดป้ายห้ามดื่มสุราบนศาลา แสดงถึงการให้ความเคารพต่อสถานที่เป็นอย่างมาก แถมมีป้ายข้อความ ให้ข้อคิดเตือนใจไว้ด้วย ภายในศาลาโรงธรรม มีพระพุทธรูป สำหรับใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ดูๆไปก็คล้ายศาลาวัดมาก



          หลังจากใช้เวลาสอดส่ายสายตาเข้าไปดูศาลาโรงธรรมจนพอใจ จึงออกเดินเท้าต่อผ่านกำแพงรั้วบ้านสีเขียวอ่อนไปตามเส้นทาง ก่อนเลี้ยวขวามือ แล้วเดินตรงไปตามเส้นทางต่อไป จะมีป้ายลูกศรบอกทางบอกเส้นทางไปต่อเป็นระยะๆ มองเห็นได้ในระยะไกล



          พอโผล่ออกมาที่ปากซอยทางเดิน ก็เดินเลี้ยวซ้ายตามลูกศร ผ่านบ้านไม้หลังเก่าของหลวงวุฒิธนภูมิ (เดินเลยมาแล้วหันหลังกลับไปถ่ายภาพ เพราะมุมที่เดินมามันเป็นตำแหน่งย้อนแสง)

ข้อมูลน่ารู้ : หลวงวุฒิธนภูมิ ซึ่งเป็น " ต้นตระกูลธนภูมิ และต้นตระกูลดารสวัสดิ์ " ได้เป็นผู้สร้างศาลาโรงธรรมและศาลาโรงทานแห่งนี้ แต่ภายหลังได้มีการรื้อและก่อสร้างศาลาโรงทานขึ้นใหม่ อันเนื่องจากชำรุดทรุดโทรม




          หลังจากถ่ายภาพบ้านไม้เก่าแก่เสร็จ ก็เดินเท้าต่อจนถึงร้านขายของ ใกล้ประตูทางออกจากชุมชนบ้านปูน สู่สะพานพระราม 8 แวะสอบถามเส้นทางและพิกัดขอบเขตของชุมชนบ้านปูนจากร้านค้าที่อยู่บริเวณนี้ จึงรู้ว่าชุมชนบ้านปูนในอดีต มีพื้นที่กว้างขวางมาก บ้านเรือนชาวบ้านปูนบางส่วน ได้ส่วนสูญสิ้นไปอย่างถาวร พร้อมๆกับการก่อสร้างสะพานพระราม 8 บ้านหลายหลังถูกแทนที่ด้วยเสาตอม่อของสะพานพระราม 8 ด้วยการถูกเวนคืนที่ดิน รันทดหัวใจกันไปหลายครอบครัวเลยทีเดียว ไม่รู้จะเห็นใจหรือปลงดี เรื่องแบบนี้ ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอก...แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

ข้อมูลน่ารู้ : มีคำบอกเล่าของชาวชุมชนแถวนี้ ว่า ปลายปี 2538 มีโครงการพระราชดำริสร้างสะพานพระราม 8 เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรระหว่างกรุงเทพฯกับฝั่งธนบุรี ในหลวงท่านไม่ทรงเจาะจงว่าสร้างตรงไหน ให้ กทม. เลือกพื้นที่เอง ที่แรกจุดก่อสร้างเชิงสะพานฝั่งพระนครอยู่ที่เทเวศร์ แต่พอข้ามมาธนบุรี เชิงสะพานติดบ้านท่านบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น เลยเปลี่ยนพื้นที่จากเชิงสะพานฝั่งพระนคร(เทเวศร์) มาเป็นบริเวณใกล้กับธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.) ดังนั้นเชิงสะพานฝั่งธนบุรีก็ต้องเปลี่ยนตำแหน่ง มาเป็นที่บ้านปูนแทน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? ไม่ทราบ แต่ก็ได้ยินคนเล่าให้ฟังมาตลอดเส้นทางเดินเลยทีเดียว ชาวบ้านชุมชนแถวนี้เขาเชื่อกันอย่างนี้ เลยเอามาเป็นเกร็ดเล็กๆเล่าสู่กันฟัง



          กำแพงวังบางยี่ขัน(กำแพงวังเจ้าลาว) หลังจากใช้เวลาพูดคุย สอบถามป้าเจ้าของร้านขายของและหลานชายวัยรุ่น ประมาณ 10 นาที ก็เดินผ่านออกมาจากประตูเหล็กสีฟ้า ด้านบนประตูจะเป็นป้ายสีเขียว เขียนว่า “ ชุมชนบ้านปูน “ ส่วนด้านซ้ายมือ(ตามภาพ) ก็คือ กำแพงวังเก่าบางยี่ขัน ซึ่งนิยมเรียกกันสมัยก่อนว่า “ วังเจ้าลาว “ ซึ่งคงหมายถึง " วังของเจ้าอนุวงศ์ " ที่เป็นองค์ประกัน ลักษณะเดียวกับพระองค์ดำ(สมเด็จพระนเรศวรมหาราช)ของไทยเรา ตอนที่ไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดี(พม่า) ต่างกันตรงที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อกลับมาแล้ว สามารถประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ แต่เจ้าอนุวงศ์ล้มเหลว...

          คนไทยสมัยก่อน นิยมเคี้ยวหมากกัน และชุมชนบ้านปูนแห่งนี้ ก็มีอาชีพผลิตปูนแดง-ปูนขาวเคี้ยวหมากขาย จนเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากการประพาสยุโรป จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกเคี้ยวหมาก อาชีพทำปูนเคี้ยวหมากก็หมดความนิยมลง ในปัจจุบันก็ไม่มีการผลิตปูนเคี้ยวหมากหลงเหลือที่บ้านปูนอีกเลย

          ชุมชนบ้านปูนแห่งนี้ อยู่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี เมื่อมาจากฝั่งพระนคร ข้ามสะพานพระราม 8 อยู่เชิงสะพานด้านขวา ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้ายบอกชุมชนชัดเจนว่า " ชุมชนบ้านปูน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด "

กำแพงวังเก่าแห่งนี้ : กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้แล้ว

ข้อมูลน่ารู้ : เจ้าอนุวงศ์ถูกสำเร็จโทษที่ พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง(ฝั่งตะวันออก) ริมถนนมหาไชย(ตรงข้ามสวนสราญรมย์) พงศาวดารไทยและลาว ระบุตรงกันว่า ลานหน้าพระที่นั่งแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเป็นที่เจ้าอนุวงศ์ถูกสำเร็จโทษ

          เจ้าอนุวงศ์ขณะเป็นองค์ประกันประทับที่ “ วังบางยี่ขัน  ร่องรอยเดียวที่เหลืออยู่ทุกวันนี้คือแนวกำแพงโบราณทางทิศเหนือของลานอเนกประสงค์ หน้าสวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8



          ใต้สะพานพระราม อดีตเคยเป็นที่อยู่อาศัยส่วนหนึ่งของชุมชนบ้านปูน หลายคนเคยอาศัยอยู่บริเวณนี้ เมื่อมีการก่อสร้างสะพานพระราม 8 จึงถูกเวนคืน ปัจจุบันด้านล่างใต้สะพานกลายเป็นลานทำกิจกรรมและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจไปแล้ว

          ยิ่งตอนเย็นๆแดดร่มลมตก จะมีการซ้อมปอมปอมเชียร์(เชียร์ลีดเดอร์)หรือเบรกแดนซ์กันอย่างคึกคัก นอกจากนั้นก็โชว์เล่นสเก็ตบอร์ดผาดโผนของวัยรุ่นเด็กแนว ให้คนที่ดูตื่นเต้นลุ้นตามไปด้วย 

ขอจบตอนแรกของ Trip นี้ไว้เพียงแค่นี้ก่อน ติดตามต่อไปได้ในตอนที่ 2  Bye bye


(ต่อ)....ตอนที่ 2 ไปอ่านสนุกๆกันต่อ : 

Travel Bangkok 360 องศา : เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Travel Bangkok 360 องศา : เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 3

Travel Bangkok 360 degree : the route back in time Traditional community (Thonburi) Chapter 3           บทความการเดินเที่ยวย้อนยุค...