----------------------------------------------------
Travel Bangkok 360 degree : the route
back in time Traditional community (Thonburi) : Chapter 1
back in time Traditional community (Thonburi) : Chapter 1
----------------------------------------------------
ก่อนหน้านี้ ได้เคยนำเรื่องราวที่ไปเดินเที่ยวย้อนอดีตกรุงเทพฯ ตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรีลงในเว็บ
Pantip
มาแล้ว มีคนเข้ามาติดตามอ่านกันเป็นจำนวนมาก
ครั้งนี้เลยขอนำเรื่องราวดังกล่าว มาเรียบเรียงใหม่ ให้ได้อ่านและติดตามกันอีกครั้ง
เผื่อมีใครอยากเดินตามรอยอดีตแบบนี้กันบ้าง ด้วย Blog แห่งนี้ มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเข้ามาอ่านกันเป็นประจำ(อาจมีศัพท์ภาษาอังกฤษแทรกปนๆเข้าไปด้วย...ผิดถูกไม่ว่ากันนะ ถือเป็นสีสันประกอบการเล่าเรื่องละกัน) จึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในวงที่กว้างกว่าเดิม สำหรับตอนแรกนี้ คนเล่าเรื่องพร้อมแล้ว ขอนำทุกท่านไปติดตามอ่านกันได้เลย...Let’s go
ด้วยเหตุเพราะมุข “ จบจากโรงเรียนวัดลิงขบ
“ ที่เคยได้ยินเพื่อนๆพูดอำขำๆกันเล่นตั้งแต่วัยประถม ไม่รู้มาก่อนว่าวัดนี้มีอยู่จริงๆ อยากรู้ว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนในประเทศนี้ จึงพิมพ์ถามในช่องค้นหาของ Google Map ชื่อวัดลิงขบก็โผล่ขึ้นมา ในที่สุดก็รู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ แถมอยู่ตรงกันข้ามกับย่านเทเวศร์นี่เอง แต่เมื่อนั่งค้นคว้าเรื่องราวไปเรื่อยๆ จากแค่วัดลิงขบเรื่องเดียว ก็กลายเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับชุมชนเก่าแก่อีกหลายแห่งในอดีต ที่อาศัยอยู่ตลอดสองฟากฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยิ่งค้นคว้ายิ่งรู้สึกสนุกและน่าสนใจมาก จึงต้องการที่จะไปสัมผัสกับสถานที่จริงๆดูสักครั้ง " เรื่องราวของประวัติศาสตร์ในอดีต มักมีมนต์เสน่ห์เสมอ " เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้ รีบตรวจสอบเส้นทางและหาข้อมูลพิกัดของสถานที่หลักๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อทุกอย่างพร้อมเสร็จ ก็ไปเดินเที่ยวกันได้ทันที
----------------------------------------------------
เริ่มต้นการเดินทางที่ป้ายรถเมล์ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ(Victory Monument) ฝั่งเกาะพญาไท หรือ บางคนก็เรียกกันว่า " ฝั่งเซ็นเตอร์วัน " เพราะมีห้างเซ็นเตอร์วันตั้งอยู่ แต่ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าหน่อย ก็อาจจะเรียกว่า " ฝั่งหนังสือดอกหญ้า " เพราะตรงหัวมุมเดิมจะมีร้านหนังสือดอกหญ้าตั้งอยู่ ปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว
มาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ประมาณ 07 .00 น. แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้สายอะไรมากนัก ยืนรอรถเมล์อยู่ไม่นาน รถเมล์ ปอ. สาย
503 ก็วิ่งเข้ามาจอดที่ป้ายหยุดรถฯ รีบเดินขึ้นรถเมล์และเลือกที่นั่งตอนหน้าด้านหน้าซ้ายมือของคนขับ ค่ารถเมล์ ปอ. สาย 503 ไปลงวัดเบญจมบพิตรฯ ราคา 11 บาท ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกใน Trip นี้ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากไหว้พระเพื่อให้เป็นสิริมงคลและการเอาฤกษ์เอาชัยเสียก่อนเดินทาง ตามวิถีพุทธแบบไทยๆเท่านั้นเอง(ความเชื่อส่วนตัวล้วนๆ)
รถเมล์วิ่งผ่านหน้าห้างเซ็นจูรี่
ไปเลี้ยวขวาที่แยกพญาไท ผ่านโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย เนื่องจากวันนี้เป็นหยุดราชการ
ช่วงเช้าๆถนนค่อนข้างว่าง รถเมล์ฯวิ่งอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็วิ่งมาถึงวัดเบญจมบพิตร(Wat Benchamabophit) มาทันเห็นการใส่บาตรที่ตรงบริเวณหน้าวัดพอดี ที่จริงตั้งใจจะมาถึงก่อนใส่บาตร
เพื่อจะได้เก็บภาพที่ตรงช่องประตูมองเห็นโบสถ์ด้านใน แต่เพราะมาคนเดียว เลยตื่นสายไปนิดหน่อย
สำหรับวัดเบญจมบพิตร มีชื่อเต็มว่า " วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร " แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะรู้จักและเรียกวัดนี้ว่า " The Marble Temple " เพราะมีพระอุโบสถ พระระเบียง
ประดับด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี
ประกอบกับเป็นวัดที่มีความวิจิตรงดงามมาก
เดินผ่านประตูเข้าไปในวัดเบญจมบพิตรฯ เพื่อไหว้องค์พระพุทธชินราช(จำลอง) เป็นวิถีของคนไทยทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่า หากจะเดินทางไปไหนมาไหน? ก็ควรไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์ จะได้ปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย ไร้ภัยอันตรายใดๆ ช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ สบายใจยิ่งขึ้น
สำหรับองค์พระพุทธชินราช องค์จริงนั้น อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลกโน่น ใครมีโอกาสผ่านขึ้นไปที่จังหวัดพิษณุโลก อย่าลืมแวะไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตด้วยล่ะ
เดินไปออกทางประตูอีกด้านของวัด(ด้านข้างฝั่งถนนศรีอยุธยา) ทะลุออกมาตรงป้ายรถเมล์พอดี โชคดีเหลือเกิน รถเมล์ฟรี สาย 72 ก็วิ่งเข้ามาจอดส่งผู้โดยสารที่ป้ายหยุดรถเมล์พอดี ไม่ต้องคิดมาก ก้าวเท้าขึ้นรถเมล์เพื่อไปลงที่ตลาดเทเวศร์ทันที (รถเมล์สายนี้สุดสายที่ตลาดเทเวศร์) บนรถเมล์ มีผู้โดยสารเหลือแค่
2คนเท่านั้น อยากจะนั่งตรงไหน เลือกเอาที่สบายใจได้เลย เหมือนได้นั่งรถเมล์ส่วนตัว ไม่ต้องไปยืนเบียดเสียดแออัดยัดเยียดกับใครทั้งนั้น
รถเมล์วิ่งมาสุดสายที่ตลาดเทเวศร์ ลงรถเมล์แล้วเดินข้ามถนนไปยังฝั่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
แล้วเดินเลียบบาทวิถี ผ่านตลาดสดเทวราช ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมที่สะพานเทเวศรนฤมิตร (แยกเทเวศร์)
เดินเลี้ยวขวาตรงไปยังท่าเรือเทเวศร์ ที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างทางเดินไป ด้านขวามือจะเป็นแหล่งจำหน่ายพันธุ์ไม้สวยงาม ยาวไปตามแนวลำคลอง ส่วนท้ายๆก่อนถึงท่าเรือ
ก็จะมีการจำหน่ายปลาปล่อย(ทำบุญ) ไว้บริการให้คนใจบุญนำไปปล่อยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใครสนใจแวะกันไปอุดหนุนกันได้
สำหรับท่าเรือข้ามฟากไป " วัดบวรมงคลราชวรวิหาร (วัดลิงขบ) " จะมีทางเดินแยกออกมาทางด้านขวามือของท่าเรือหลัก ส่วนท่าเรือข้ามฟากไป " วัดคฤหบดี " จะแยกออกไปทางด้านซ้ายมือของท่าเรือหลักเช่นกัน
สำหรับท่าเรือข้ามฟากไป " วัดบวรมงคลราชวรวิหาร (วัดลิงขบ) " จะมีทางเดินแยกออกมาทางด้านขวามือของท่าเรือหลัก ส่วนท่าเรือข้ามฟากไป " วัดคฤหบดี " จะแยกออกไปทางด้านซ้ายมือของท่าเรือหลักเช่นกัน
พอเดินเข้าไปถึงท่าข้ามเรือปุ๊บ
เรือที่ข้ามมาจากวัดบวรมงคลราชวรวิหาร
(ฝั่งธนบุรี)
ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าเพื่อส่งผู้โดยสาร มองซ้ายมองขวา เห็นมีแต่เราคนเดียวที่จะข้ามฟากไป
ก้าวเดินลงลำเรือเข้าไปนั่งภายในตัวเรือ คิดว่าคงอีกสักพักถึงจะได้เวลาออก เพราะน่าจะต้องรอผู้โดยสารคนอื่นอีก แต่คิดผิดถนัด ดูเหมือนคุณลุงคนขับเรือจะไม่สนใจรอใคร
ติดเครื่องยนต์หันหัวเรือพาข้ามฟากกลับไปเลยทันที คงเป็นเพราะช่วงเช้าๆ มีผู้โดยสารมารอฝั่งโน้นค่อนข้างเยอะ จึงต้องรีบกลับเรือข้ามไปรับผู้โดยสารทันที แต่หากเป็นช่วงสายๆหน่อย ก็คงจอดเรือรอนานเอาเรื่องอยูู่นะ เพราะคนที่จะข้ามกลับไปคงมีไม่มากนัก
สำหรับอุปกรณ์สำหรับช่วยชีวิต กรณีเกิดอุบัติเหตุเรือจมหรือเรือล่ม ภายในเรือก็จะมีเสื้อชูชีพเตรียมไว้ให้ด้วยพร้อมเสร็จและถูกเก็บซุกไว้ด้านล่างของทีนั่งไม้นั่นแหละ (ปกติโดยทั่วไป จะเห็นเสียบเก็บไว้ด้านบนของช่องใต้หลังคาเรือ) หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ก็น่าจะปลอดภัยนะ
เมื่อเดินจากเรือขึ้นไป สังเกตเห็นตรงทางเดินเข้าไปที่จ่ายเงิน
จะมีป้ายตัวหนังสือสีแดง บอกค่าโดยสารไว้อย่างชัดเจน มียกเว้นให้บริการฟรี “
สำหรับพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และคนพิการ ” ด้วย ชัดเจนดีมาก ตัวหนังสือขนาดพอดี มองดูจากตรงลำเรือก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เดินทะลุผ่านช่องที่เก็บเงินมาได้ไม่ไกลนัก ก็จะมองเห็นสถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล(ชื่อเดียวกับวัดเลย)
ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายมือของถนนซอยจรัลสนิทวงศ์ 46(แยก19) ที่ทอดตัวออกไปยังด้านหน้าของวัดบวรมงคลราชวรวิหาร
ข้อมูลน่ารู้ : วัดบวรมงคลราชวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี
ชนิดราชวรวิหาร เดิมชื่อวัดลิงขบ เนื่องจากสมัยก่อน บริเวณรอบวัดเป็นป่า
มีฝูงลิงอาศัยอยู่จำนวนมากและบางตัวมีนิสัยเกเรดุร้าย มักขบกัดชาวบ้านอยู่เสมอๆ
จึงถูกเรียกกันว่า “ วัดลิงขบ “ บ้างก็ว่ามีชาวมอญชื่อว่า “ ลุงขบ ”
เป็นคนสร้างวัด ชื่อ “ วัดลุงขบ “ นานไปอาจออกเสียงเพี้ยนกลายมาเป็น “ ลิงขบ “
ต่อมา กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาเสนานุรักษ์ ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “ วัดบวรมงคลราชวรวิหาร “ ชุมชนแถวนี้ ส่วนใหญ่ดั้งเดิมจะเป็นชาวมอญ
อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และมาตั้งรกรากตั้งแต่รัชกาลที่ 2
ที่มีความสำคัญอีกอย่าง คือ เป็นวัดพระอาจารย์ของรัชกาลที่
4 คือ " พระสุเมธมุนี " ซึ่งเป็นชาวรามัญ เป็นผู้รู้ข้อวัตรปฏิบัติแตกฉานในพระไตรปิฎก
และยังเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก ทางด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม
ใครสนใจเชิญมาศึกษาธรรมะกันได้
ตรงบริเวณสวนหย่อมที่ติดกับวัด
จะมีเจดีย์หมู่ 9 องค์ เรียกว่า “ เจดีย์หงษา “ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแบบมอญ
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เก่าแก่น่าดู
ออกจากอุโบสถ เดินทะลุออกมาตรงเมรุเผาศพ จะมองเห็น " โรงเรียนทิวไผ่งาม " ตั้งอยู่ติดกับเขตวัดฯเลย ได้เคยอ่านข่าวกีฬาตามหน้าหนังสือพิมพ์มานานแล้วว่า โรงเรียนทิวไผ่งามแห่งนี้เก่งและโด่งดังเรื่องกีฬาบาสเกตบอลมาก ได้แชมป์มาก็มากมาย...แหมมาตั้งหลบอยู่ที่นี่เอง
เดินออกประตูวัดมาที่ถนนใหญ่ คือ " ซอยจรัลสนิทวงศ์
46(แยก19) " จะเจอคิวรถสองแถว(สีแดงเลือดหมู) สาย14 จรัลสนิทวงศ์ – ซอยพระยาวรพงษ์ วิ่งระหว่างวัดบวรมงคล – ไปออกถนนจรัลสนิทวงศ์ ใครอยากจะเปลี่ยนเส้นทางไปโผล่ที่ตลาดพงษ์ทรัพย์...ก็ใช้บริการได้เลย
ข้อมูลน่ารู้ : คุยกับแม่ค้าที่นั่งขายกล้วยแขกอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าวัด เห็นบอกว่า ถ้าเดินมาจากสะพานกรุงธนบุรี(สะพานซังฮี๊) ก็สามารถเดินทะลุมาที่ถึงที่วัดลิงขบ และเดินไปจนทะลุสะพานพระราม 8
และสะพานปิ่นเกล้าได้เลยนะ
ด้วยความคิดที่ว่า “ เส้นทางอยู่ที่ปาก “ หากต้องการทราบเส้นทางเดินลัดเลาะของชุมชนเก่าแก่แถบนี้ที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก ซึ่งแม้แต่
Google
ก็ยังส่ายหน้าบอกไม่รู้วุ๊ย สิ่งสำคัญก็คือ การใช้รอยยิ้มที่เป็นมิตร
และการอุดหนุนสินค้า ขนมหรือแม้แต่อาหารที่อยู่ในท้องถิ่น
แล้วค่อยการสอบถามเส้นทางเดินประจำของชาวบ้านในชุมชน
อยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็ถามได้เต็มที่
ร้อยทั้งร้อยได้รับการบอกและอธิบายแบบละเอียดยิบเลยทีเดียว
บริเวณตรงข้ามประตูใหญ่ของวัด
จะมีร้านขายของชำแบบดั้งเดิม(หาดูได้ยากแล้ว) มีของขายเกือบทุกอย่างที่ชาวบ้านในขุมชนแถวนี้ต้องการ
หน้าร้านจะมีก๋วยจั๊บขาย มีโต๊ะพร้อมเก้าอี้ ให้นั่งกินกันอย่างสบายใจ พอเดินผ่านก็ได้กลิ่นหอมฉุยแตะจมูกมาเลย
ท้องร้องจ๊อกๆขึ้นมาทันที สั่งมาเป็นทดสอบความอร่อย 1 ชาม รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว
นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเดินไปอีกไกล ต้องซื้อติดมือไปด้วยสักถุงสองถุงแน่ๆเลย ได้โอกาสสอบถามเส้นทางไปด้วยพร้อมเสร็จ เมื่อชัดเจนในเส้นทางที่จะไป
ก็ได้เวลาขาเดินไปกันต่อได้แล้ว
สำหรับถนนซอยจรัลสนิทวงศ์ 44 บริเวณตรงสี่แยก จะมีป้ายสีเขียวอ่อนอยู่ตรงมุมทางแยก(ด้านซ้ายมือ) และถ้ามองเฉียงไปทางด้านขวามือ จะมองเห็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนซ้ายมือถ้าเดินเข้าไปอีกหน่อย ก็จะเป็นสถานีดับเพลิงบวรมงคล ซึ่งตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลย ให้เราเดินข้ามทางแยก แล้วเดินตรงไปตามเส้นทางเดินคอนกรีตเล็กๆ คล้ายๆกับขามา
วัดคฤหบดี อยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์
44
(ซอยศรีประชา) หากนั่งมอเตอร์ไซค์ย้อนออกไปโผล่ที่ถนนจรัลสนิทวงศ์
ปากซอยจะอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของอดีต “ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปะอาชา “ พอดี (ปัจจุบันท่านถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2559 หลังจากสร้างคุณูปการให้กับจังหวัดสุพรรณบุรีและประเทศไทยของเราในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 21อย่างมากมาย)
ข้อมูลน่ารู้ : วัดคฤหบดี
เป็นวัดที่พระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่)ต้นสกุล “ ภมรมนตรี ”
เป็นผู้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
ได้โปรดพระราชทานนามวัด และพระราชทานพระแซกคำ ไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย
แต่เดิมนั้นพระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่) มีบ้านอยู่ริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือบ้านปูน ตำบลบางพลัด(แขวงบางยี่ขันปัจจุบัน) ได้ถวายตัวเข้ารับราชการตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังทรงกรมเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
ในสมัยรัชกาลที่ 2 (บ้านเดิมคือ บริเวณวัดคฤหบดีทุกวันนี้) ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้โปรดตั้งนายภู่จางวางเป็นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นว่าการพระคลังมหาสมบัติ
ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานบ้านที่พระศรีสุนทรโวหาร(สุนทรภู่) อาศัยอยู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของท่าพระ (ท่าช้างวังหลัง)ให้พระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่)ได้อยู่อาศัยใหม่ พระยาราชมนตรีฯจึงได้ยกบ้านเดิมของท่านให้สร้างเป็นวัด และนำความน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระองค์ได้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง พร้อมกับพระราชทานนามว่า “ วัดคฤหบดี ” และได้พระราชทานพระแซกคำไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดคฤหบดีครั้งใหญ่ ทำให้อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีสภาพถาวรมั่นคงเป็นที่พอพระราชหฤทัย และได้ทรงพระราชทานตราประจำรัชกาลพระองค์ท่านประดิษฐานไว้จนกระทั่งบัดนี้
แต่เดิมนั้นพระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่) มีบ้านอยู่ริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือบ้านปูน ตำบลบางพลัด(แขวงบางยี่ขันปัจจุบัน) ได้ถวายตัวเข้ารับราชการตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังทรงกรมเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
ในสมัยรัชกาลที่ 2 (บ้านเดิมคือ บริเวณวัดคฤหบดีทุกวันนี้) ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้โปรดตั้งนายภู่จางวางเป็นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นว่าการพระคลังมหาสมบัติ
ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานบ้านที่พระศรีสุนทรโวหาร(สุนทรภู่) อาศัยอยู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของท่าพระ (ท่าช้างวังหลัง)ให้พระยาราชมนตรีบริรักษ์(ภู่)ได้อยู่อาศัยใหม่ พระยาราชมนตรีฯจึงได้ยกบ้านเดิมของท่านให้สร้างเป็นวัด และนำความน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระองค์ได้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง พร้อมกับพระราชทานนามว่า “ วัดคฤหบดี ” และได้พระราชทานพระแซกคำไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดคฤหบดีครั้งใหญ่ ทำให้อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีสภาพถาวรมั่นคงเป็นที่พอพระราชหฤทัย และได้ทรงพระราชทานตราประจำรัชกาลพระองค์ท่านประดิษฐานไว้จนกระทั่งบัดนี้
ไหว้องค์จำลองพระพุทธรูปทองคำ “
หลวงพ่อแซกคำ “ ซึ่งจะอยู่ด้านหลังองค์เจดีย์ ก่อนถึงเขตพระอุโบสถด้านใน
สามารถเข้ามากราบไหว้ได้ทุกวัน ส่วนองค์จริงของหลวงพ่อแซกคำจะอยู่ในโบสถ์ใหญ่
เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง
1 ใน 3 องค์ ได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธแซกคำ และพระบาง(อยู่ สปป.ลาว)
ใครมาถึงที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด..ขอบอก
ข้อมูลน่ารู้ : พระพุทธแซกคำ
เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองคำโบราณ ปางมารวิชัย
สมัยเชียงแสน ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 องค์ เป็นพระพุทธรูปคู่เมืองแห่งราชอาณาจักรล้านนา (นครเชียงใหม่) ซึ่งมีพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเป็นพระมหากษัตริย์
ต่อมา พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมีความจำเป็นต้องเสด็จไปครองราชสมบัติในอาณาจักรล้านช้างพระนครศรีสัตนาคนหุต (หลวงพระบาง)และได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญที่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย 3 องค์ คือ พระแก้วมรกต พระพุทธแซกคำ และพระบาง
ในปี พ.ศ. 2100 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชย้ายราชธานีจากหลวงพระบาง ไปตั้งที่นครเวียงจันทน์ และทรงอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ไปด้วย พระพุทธแซกคำ จึงได้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ สืบมาหลายรัชกาลนานถึง 269 ปี
ในปี พ.ศ. 2369 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) ทรงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นแม่ทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์ ได้จับกุมเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์เวียงจันทน์มากรุงเทพฯ พร้อมอัญเชิญพระพุทธแซกคำ นำมาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธแซกคำแก่ พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) ซึ่งเป็นต้นตระกูลภมรมนตรีและตระกูลชุมสาย ผู้สร้างวัดคฤหบดี ให้มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ พระอารามหลวง วัดคฤหบดี เป็นศรีสง่าแห่งพระอาราม นับแต่ปี พ.ศ. 2369 กระทั่งถึงทุกวันนี้
สมัยเชียงแสน ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 องค์ เป็นพระพุทธรูปคู่เมืองแห่งราชอาณาจักรล้านนา (นครเชียงใหม่) ซึ่งมีพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเป็นพระมหากษัตริย์
ต่อมา พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมีความจำเป็นต้องเสด็จไปครองราชสมบัติในอาณาจักรล้านช้างพระนครศรีสัตนาคนหุต (หลวงพระบาง)และได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญที่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย 3 องค์ คือ พระแก้วมรกต พระพุทธแซกคำ และพระบาง
ในปี พ.ศ. 2100 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชย้ายราชธานีจากหลวงพระบาง ไปตั้งที่นครเวียงจันทน์ และทรงอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ไปด้วย พระพุทธแซกคำ จึงได้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ สืบมาหลายรัชกาลนานถึง 269 ปี
ในปี พ.ศ. 2369 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) ทรงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นแม่ทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์ ได้จับกุมเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์เวียงจันทน์มากรุงเทพฯ พร้อมอัญเชิญพระพุทธแซกคำ นำมาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธแซกคำแก่ พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) ซึ่งเป็นต้นตระกูลภมรมนตรีและตระกูลชุมสาย ผู้สร้างวัดคฤหบดี ให้มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ พระอารามหลวง วัดคฤหบดี เป็นศรีสง่าแห่งพระอาราม นับแต่ปี พ.ศ. 2369 กระทั่งถึงทุกวันนี้
ได้แวะเข้าไปกราบไหว้และอาศัยหลบแดดร้อนภายในตัวพระบรมธาตุ
ก่อนอาศัยช่องทางเดินตรงมุมวัด(อยู่ใกล้ๆกับพระบรมธาตุ)
เดินไปชุมชนบ้านปูน เป็นเป้าหมายถัดไป
ข้อมูลน่ารู้ : ภายในพระบรมธาตุเจดีย์
มีห้องที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2441 (ค.ศ.1898) ชาวอังกฤษได้ค้นพบโดยบังเอิญในผอบ
ที่บริเวณอันเคยเป็นที่ตั้งของเมืองกบิลพัสดุ์
บนผอบดังกล่าวมีจารึกเป็นตัวอักษรพราหมี ระบุว่า " เป็นพระบรมสารีริกธาตุในส่วนแบ่งของพระราชวงศ์ศากยะ
ถือว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพบแห่งเดียวในโลก
ที่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่ชัด "
ต่อมา ได้มีพระสงฆ์ชาวไทยรูปหนึ่ง
ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่ศรีลังกา พระนาม " พระชินวรวงศ์ (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์) " เสด็จธุดงค์ไปในที่เกิดเหตุในขณะนั้น
จึงได้ทรงติดต่ออุปราชอินเดีย ขอให้ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง(รัชกาลที่ 5) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษก็ได้ดำเนินการตามนั้น พระบรมสารีริกธาตุ
ซึ่งเป็นกระดูกที่เผาไม่หมดของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้อัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานบนพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ที่กรุงเทพฯ
แต่มีบางส่วนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้พระราชทานให้ประเทศศรีลังกา ไปประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิรักษ์รามา
เมื่อปี 2547 เจ้าอาวาสวัดโพธิรักษ์รามา
ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่งให้
ม.ล.อนงค์ ชุมสาย นิลอุบล คือ องค์ที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา
และได้บรรจุในพระบรมธาตุเจดีย์ วัดคฤหบดี ในพ.ศ.2554
รูปแบบสถาปัตยกรรม พระบรมธาตุเจดีย์
วัดคฤหบดี มีที่มาจากเจดีย์ทิศวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่
ซึ่งก็ดัดแปลงมาจากพระสถูปพระพุทธกายา แต่พระบรมธาตุเจดีย์มีรูปแบบที่เรียบง่าย
ไม่มีเครื่องประดับ ส่วนประตูเข้าองค์พระเจดีย์ได้เลียนแบบมาจากวัดศรีชุม
จ.สุโขทัย ความเรียบง่ายนี้สะท้อนด้วยการทาสีขาวทั้งองค์พระเจดีย์
ยกเว้นยอดซึ่งทาสีทอง เป็นรูปจำลองของผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พร้อมด้วยคำจารึกโบราณที่กล่าวข้างต้น
เครดิต : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
(2 มิถุนายน 2554)
ด้านหน้าศาลาโรงธรรม มีติดป้ายห้ามดื่มสุราบนศาลา แสดงถึงการให้ความเคารพต่อสถานที่เป็นอย่างมาก แถมมีป้ายข้อความ
ให้ข้อคิดเตือนใจไว้ด้วย ภายในศาลาโรงธรรม มีพระพุทธรูป
สำหรับใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ดูๆไปก็คล้ายศาลาวัดมาก
ข้อมูลน่ารู้ : หลวงวุฒิธนภูมิ ซึ่งเป็น " ต้นตระกูลธนภูมิ
และต้นตระกูลดารสวัสดิ์ " ได้เป็นผู้สร้างศาลาโรงธรรมและศาลาโรงทานแห่งนี้ แต่ภายหลังได้มีการรื้อและก่อสร้างศาลาโรงทานขึ้นใหม่
อันเนื่องจากชำรุดทรุดโทรม
ข้อมูลน่ารู้ : มีคำบอกเล่าของชาวชุมชนแถวนี้
ว่า ปลายปี 2538 มีโครงการพระราชดำริสร้างสะพานพระราม 8 เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรระหว่างกรุงเทพฯกับฝั่งธนบุรี
ในหลวงท่านไม่ทรงเจาะจงว่าสร้างตรงไหน ให้ กทม. เลือกพื้นที่เอง ที่แรกจุดก่อสร้างเชิงสะพานฝั่งพระนครอยู่ที่เทเวศร์
แต่พอข้ามมาธนบุรี เชิงสะพานติดบ้านท่านบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น เลยเปลี่ยนพื้นที่จากเชิงสะพานฝั่งพระนคร(เทเวศร์)
มาเป็นบริเวณใกล้กับธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.)
ดังนั้นเชิงสะพานฝั่งธนบุรีก็ต้องเปลี่ยนตำแหน่ง มาเป็นที่บ้านปูนแทน
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? ไม่ทราบ
แต่ก็ได้ยินคนเล่าให้ฟังมาตลอดเส้นทางเดินเลยทีเดียว
ชาวบ้านชุมชนแถวนี้เขาเชื่อกันอย่างนี้ เลยเอามาเป็นเกร็ดเล็กๆเล่าสู่กันฟัง
คนไทยสมัยก่อน นิยมเคี้ยวหมากกัน และชุมชนบ้านปูนแห่งนี้
ก็มีอาชีพผลิตปูนแดง-ปูนขาวเคี้ยวหมากขาย จนเมื่อรัชกาลที่
5 เสด็จกลับจากการประพาสยุโรป จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกเคี้ยวหมาก อาชีพทำปูนเคี้ยวหมากก็หมดความนิยมลง
ในปัจจุบันก็ไม่มีการผลิตปูนเคี้ยวหมากหลงเหลือที่บ้านปูนอีกเลย
ชุมชนบ้านปูนแห่งนี้ อยู่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี เมื่อมาจากฝั่งพระนคร ข้ามสะพานพระราม 8 อยู่เชิงสะพานด้านขวา ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้ายบอกชุมชนชัดเจนว่า " ชุมชนบ้านปูน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด "
ชุมชนบ้านปูนแห่งนี้ อยู่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี เมื่อมาจากฝั่งพระนคร ข้ามสะพานพระราม 8 อยู่เชิงสะพานด้านขวา ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้ายบอกชุมชนชัดเจนว่า " ชุมชนบ้านปูน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด "
กำแพงวังเก่าแห่งนี้ : กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้แล้ว
ข้อมูลน่ารู้ : เจ้าอนุวงศ์ถูกสำเร็จโทษที่
พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง(ฝั่งตะวันออก) ริมถนนมหาไชย(ตรงข้ามสวนสราญรมย์)
พงศาวดารไทยและลาว ระบุตรงกันว่า ลานหน้าพระที่นั่งแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเป็นที่เจ้าอนุวงศ์ถูกสำเร็จโทษ
เจ้าอนุวงศ์ขณะเป็นองค์ประกันประทับที่ “ วังบางยี่ขัน ” ร่องรอยเดียวที่เหลืออยู่ทุกวันนี้คือแนวกำแพงโบราณทางทิศเหนือของลานอเนกประสงค์ หน้าสวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8
ยิ่งตอนเย็นๆแดดร่มลมตก จะมีการซ้อมปอมปอมเชียร์(เชียร์ลีดเดอร์)หรือเบรกแดนซ์กันอย่างคึกคัก
นอกจากนั้นก็โชว์เล่นสเก็ตบอร์ดผาดโผนของวัยรุ่นเด็กแนว ให้คนที่ดูตื่นเต้นลุ้นตามไปด้วย
ขอจบตอนแรกของ Trip นี้ไว้เพียงแค่นี้ก่อน ติดตามต่อไปได้ในตอนที่ 2 Bye bye
ขอจบตอนแรกของ Trip นี้ไว้เพียงแค่นี้ก่อน ติดตามต่อไปได้ในตอนที่ 2 Bye bye
(ต่อ)....ตอนที่ 2 ไปอ่านสนุกๆกันต่อ :
Travel Bangkok 360 องศา :
เส้นทางย้อนอดีตชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ฝั่งธนบุรี) ตอนที่ 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น